


2+



"สุรีย์พร" แบรนด์ไทยที่อยากให้ชื่อของแม่อยู่ในทุกก้าวความสำเร็จ
ทิ้งงานราชการ เงินเดือน 9 พัน ฟังเรื่องราว "อาย-ณัฐธิดา สิงห์โท" ผู้เดิมพันชีวิตด้วยชื่อ "แม่" สร้างแบรนด์ "สุรีย์พร" แบรนด์แป้งพัฟ-คุชชั่น ยอดขายล้านชิ้น
KEY
POINTS
- คุยกับ “อาย–ณัฐธิดา สิงห์โท” เจ้าของแบรนด์สุรีย์พร (Sureeporn)
- ทิ้งงานราชการในโรงพยาบาล เงินเดือน 9,000 มาไลฟ์ขายของ ขายแป้งพัฟ-คุชชั่น ล้านชิ้นต่อปี พร้อมตั้งเป้าสู่ยอดขาย 500 ล้าน
- ใช้ชื่อแม่ทำแบรนด์ เพราะอยากให้แม่อยู่ในทุกก้าวการเติบโตของธุรกิจ
จากชีวิตราชการที่มั่นคงในโรงพยาบาล…สู่โลกออนไลน์ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะพาไปถึงไหน นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญของหญิงสาวในวัย 24 ปีเมื่อ 10 ปีก่อน ที่กล้าเดินออกจากเส้นทางที่ “ปลอดภัย” เพื่อวิ่งเข้าไปหาเส้นทางที่ “ใช่”
และเส้นทางนั้น…กำลังพาเธอกลายเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ใครต่างก็รู้จัก
นี่คือเรื่องราวของ “อาย–ณัฐธิดา สิงห์โท” เจ้าของแบรนด์ Sureeporn Cosmetics (สุรีย์พร คอสเมติกส์) ผู้ปั้น “แป้งพัฟ” และ “คุชชัน” ให้กลายเป็นสินค้าขายดี ยอดขายหลักล้านชิ้นต่อปีบนโลกออนไลน์
เด็กอุดรที่โตมากับความหวังของครอบครัว
อายเติบโตที่จังหวัดอุดรธานี เลือกเรียนสาธารณสุขตามความหวังของพ่อแม่ที่อยากให้ได้งานมั่นคง แต่ไม่ว่าชีวิตจะยุ่งแค่ไหน เธอก็ยังขายของ ไปด้วยเสมอ จนเมื่อได้บรรจุงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เธอยังคงทำทั้งสองอย่างควบคู่ งานประจำ กับคอนเทนต์ออนไลน์ในชื่อ “มินิอาย ตันจัง”
“ตอนนั้นเป็นยุคเฟซบุ๊กกำลังมาแรง และใครที่อยู่ทันโซเชียลแคม จะจำได้ว่ามันคือยุคทองของอินฟลูเอนเซอร์แบบบ้าน ๆ ที่กล้าพูด กล้าขาย และกล้าสร้างตัวตน คอนเทนต์ของอายเริ่มเป็นกระแส คนแชร์เป็นพัน และมันดังจนไปถึงหูของหัวหน้าในโรงพยาบาล"
แล้ววันหนึ่งเราก็ถูกเรียกเข้าห้อง
“หยุดทำคลิปแล้วตั้งใจทำงาน…หรือไม่ก็ลาออกไปทำคลิปขายของ”
ประโยคเดียวที่เหมือนตัดโลกออกเป็นสองฝั่ง
อายเล่าว่า วันนั้นเธอไม่ได้กลัวว่าจะไม่มีรายได้ แต่กลัวจะทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เพราะสำหรับครอบครัวคนอีสานบ้านเราการเป็นข้าราชการคือ “ความมั่นคงสูงสุด”
ต่อมาเธอตัดสินใจพรินต์ Statement รายได้จากการขายของ แล้วยื่นให้พ่อแม่ดู ซึ่งเป็นรายได้ที่มากกว่าเงินเดือนราชการ 9,000 บาทหลายเท่า
แต่พ่อแม่ยังไม่มั่นใจ อายจึงขอสัญญาแค่หนึ่งปี พร้อมบอกว่า “ถ้าหนูทำไม่สำเร็จ หนูจะกลับไปทำงานราชการเหมือนเดิม”
จุดเริ่มต้นของความกล้า
อาย–ณัฐธิดา ในวัย 24 ปีตอนนั้นใช้ความกล้าเดินเข้าไปยื่นใบลาออกด้วยมือของตัวเอง หลังจากนั้นจึงเริ่มต้นสร้างแบรนด์ของตัวเอง และเลือกชื่อแบรนด์ว่า “สุรีย์พร”
ซึ่งเป็นชื่อของแม่
อยากให้แม่อยู่เคียงข้างตลอดเส้นทาง
ชื่อแบรนด์ “สุรีย์พร” ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นเพียงเพราะไพเราะ แต่เพราะมันคือชื่อของคนที่อายรักและผูกพันที่สุดคือแม่
อายเล่าว่า เธอตั้งชื่อนี้เพื่อให้แม่คอยอยู่ข้าง ๆ ในทุกก้าวที่เติบโต เหมือนเป็นพลังใจและการคุ้มครองที่จะติดตัวไปตลอดเส้นทางชีวิตผู้ประกอบการ
แต่ก็มีหลายครั้งที่คนทักว่า “ชื่อโบราณไปไหม?” “แบรนด์บ้านนอกหรือเปล่า?”
ภาพจำแรกเริ่มที่หลายคนตัดสินเธอ ทำให้อายยิ่งมุ่งมั่น เธอจะพิสูจน์ให้เห็นว่าชื่อที่เป็นเกียรติแก่แม่คนนี้ จะกลายเป็นแบรนด์ที่เติบโตได้จริง และจะทำมันให้ได้ เพื่อเลี้ยงครอบครัวให้มั่นคงที่สุด
เงินก้อนแรกที่แลกมาด้วยความฝัน
ทุนตั้งต้นของเธอไม่ได้มาจากนักลงทุน หรือเงินกู้จากธนาคาร แต่มาจาก “งานแต่งงาน” ของตัวเอง หลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เหลือเงินอยู่ประมาณ 200,000 บาท อายแบ่งกับสามีคนละครึ่ง เธอจึงมีเงิน 100,000 บาท ในมือ และตัดสินใจนำประมาณ 40,000 บาท มาซื้อสกินแคร์ล็อตแรก สินค้าอย่างละ 100 ชิ้น
ตอนนั้นกระแสตลาดกำลังบูมมาก ทั้งสบู่ไข่ มาส์กสีฟ้า และสินค้าบิวตี้อีกหลายตัวที่ขายดีแบบเทน้ำเทท่า
ความฝันอยากเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ จุดไฟให้เกิดแบรนด์เครื่องสำอาง
เธอมีฝันตั้งแต่แรกว่า อยากเป็น “บิวตี้บล็อกเกอร์” จึงเริ่มคิดว่า ถ้าจะรีวิวเครื่องสำอางของคนอื่น ทำไมไม่ลอง “สร้างของตัวเองขึ้นมาเลย”
สินค้าแรกที่ถือกำเนิดคือ “ลิปลอกสุรีย์พร” จากนั้นจึงตามด้วย “ลิปแมตต์สุรีย์พร” ที่ขายดีแบบถล่มทลาย ทะลุยอดหลักแสนชิ้น และทำให้ชื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วอีสาน
แต่ตัวที่กลายเป็น Hero Product และยืนระยะได้ยาวที่สุด คือ “แป้งพัฟสุรีย์พร” สินค้าที่ทำยอดขายต่อเนื่องจนทำให้แบรนด์แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้ดี จนกระทั่งฝันทั้งหมดมาเจอ “กำแพงที่สูงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต”
วิกฤตโควิด-19 วันที่ยอดขายหายไปแทบทั้งหมด
ช่วงโควิด ผู้คนไม่ออกจากบ้าน ไม่แต่งหน้า รายจ่ายถูกเบนไปที่อาหารและของใช้จำเป็นและยิ่งไปกว่านั้น สุรีย์พรในตอนนั้นพึ่งระบบ “ตัวแทนจำหน่าย” เป็นหลัก ทำให้เมื่อไม่มีคนซื้อ ตัวแทนก็ไม่กล้าสต็อกสินค้า ยอดขายจึงหยุดลงเกือบทั้งหมด
“ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง พนักงานก็รอเงินเดือนจากเรา ในสภาวะสิ้นหวัง ก็หันไปบอกแฟนเพียงประโยคเดียว เรามาไลฟ์ขายของกันเถอะ”
และนั่นคือประตูบานใหม่ ที่พาแบรนด์กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
ไลฟ์ขายของกิน…เพื่อประคองชีวิตและทีมงานให้รอด
แต่ตอนนั้นอายไม่ได้หยิบสกินแคร์หรือเครื่องสำอางของตัวเองขึ้นมาไลฟ์ขายอย่างที่ใครคาด แต่เธอเลือกของที่ “ขายได้เร็วที่สุด” และ “กำไรงอกน้อยแต่หมุนไวที่สุด”ไม่ว่าจะเป็นของกินชิ้นเล็ก ๆ ที่กำไรเพียง 5–10 บาท เพราะไม่ใช่เพื่อรวย แต่เพื่อให้มีเงินพอจ่ายเงินเดือนพนักงาน และเพื่อให้ธุรกิจยังหายใจ อยู่ได้อีกวันหนึ่ง
ภาพหญิงสาวเจ้าของแบรนด์ดัง ต้องมานั่งไลฟ์ขายของกินกำไรไม่กี่บาท แต่สำหรับอาย นั่นคือเกราะสุดท้ายที่จะพาทีมที่เธอรักให้รอดพ้นจากวิกฤต
เมื่อคนดูไลฟ์เริ่มมากขึ้น อายเริ่มกล้าลองหยิบสินค้าแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาขายอีกครั้ง และสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนประกายไฟที่กลับมาติดใหม่ สินค้าขายดีทันที คนแห่สั่งซื้อไม่หยุด
แต่ในความสำเร็จ ก็มีอีกหนึ่งปัญหาตามมาอย่างรวดเร็ว ตัวแทนจำหน่ายหลายรายทักเธอมาด้วยความไม่พอใจว่า เจ้าของแบรนด์ “แย่งลูกค้า” เสียงต่อว่าจากฝั่งตัวแทนทำให้อายต้องย้อนคิดใหม่ทั้งหมดว่า ธุรกิจควรเดินไปทางไหน จึงจะไม่ประคองด้วยความฝืนอีกต่อไป
ปิดระบบตัวแทน และขายเองทั้งหมด
จากเหตุการณ์นั้น อายตัดสินใจ ยุติระบบตัวแทนจำหน่าย ที่เคยทำให้แบรนด์เติบโต และหันมาขายเองเต็มรูปแบบ
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายเลย เพราะมันหมายถึงการเปลี่ยนโครงสร้างทั้งธุรกิจ แต่เราเลือกทำ เพราะมันคือทางเดียวที่จะรักษาแบรนด์ รักษาลูกค้า และรักษาอนาคตของสุรีย์พรไว้ได้
จุดพีกสุด – ไวรัลชั่วข้ามคืน
ปี 2566 คือปีที่หลายอย่างเริ่มขยับ อายเริ่มเห็นว่า คนเริ่มเปิดใจซื้อสินค้า สุรีย์พร เริ่มมีเสียงบอกต่อจากลูกค้าตัวจริง และยอดก็ขยับขึ้นเรื่อย ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่ “จุดพีก” ที่ทำให้ทั้งประเทศรู้จักแบรนด์ กลับไม่ได้มาในแบบที่ใครคาดคิด
วันหนึ่งคอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังปรากฏขึ้นพร้อมกับไลฟ์ที่พูดถึงแบรนด์ของเธอ
และมันกลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน ในทางลบมากกว่าในทางบวก
สำหรับใครหลายคน นั่นอาจเป็นวันที่รู้สึกเหมือนฟ้าผ่า แต่สำหรับอาย ตั้งสติ และพยายามเข้าใจว่า “ทำไมเหตุการณ์นั้นถึงเกิดขึ้น”
เธอออกมาเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า มันเป็นความผิดพลาดจากทีมงานของทางแบรนด์เอง ไม่ได้เกี่ยวกับเจตนาของใคร พร้อมการทำคลิปออกมาอธิบายสถานการณ์ และสาธิตความทนทานของแป้งพัฟด้วยการเขวี้ยงลงพื้น ซึ่งช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดของลูกค้าได้ การยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น ไม่เพียงทำให้ดราม่าคลี่คลาย แต่ยังทำให้คนจำนวนมากเริ่มหันมามองแบรนด์สุรีย์พรใหม่อีกครั้ง
กลยุทธ์การโฟกัสสินค้าหลัก 2 ตัว
สุรีย์พรเลือกที่จะเน้นทำสินค้าเพียง 2 อย่างคือ แป้งพัฟและคุชชั่น เนื่องจากอายยอมรับว่าเธอชอบโฟกัสสิ่งเดียว และเคยทำหลายอย่างแล้วรู้สึกว่าตัวเองหลุดโฟกัส เธอเลือกทำในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด แป้งพัฟสุรีย์พรเป็นสินค้าที่ถูกการันตีว่า "ไม่หลุดไม่ลอกแน่นอน"
เธอระบุว่า แป้งพัฟของสุรีย์พรเน้นฟินิชแบบ Matte ซึ่งเหมาะกับผู้บริโภคในต่างจังหวัดที่ต้องเผชิญแสงแดดและมักจะมีปัญหาฝ้าหรือกระ แป้งพัฟนี้มีการปกปิดที่ดีเยี่ยมและคุมมันได้ 4-12 ชั่วโมง ที่สำคัญคือ แม้จะเป็นแป้งพัฟผสมรองพื้น แต่ก็ให้สัมผัสที่บางเบา ไม่หนักหน้า
ในแง่ของคู่แข่งที่เยอะมากในตลาดความงาม อายบอกว่า เลือกที่จะแข่งกับตัวเอง เลือกทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน และไม่เคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร
ราคาต่ำ กำไรน้อย เน้นลูกค้าซื้อซ้ำ
แม้ว่าต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์ของสุรีย์พรจะสูง แต่อายเลือกที่จะเอา กำไรน้อย เพราะต้องการให้ลูกค้ากลับซื้อซ้ำ
"ปรัชญานี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยมีเงินเดือน 9,000 บาท ทำให้เข้าใจว่าคนที่มีรายได้น้อยต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีในราคาที่เข้าถึงง่าย"
การเน้นลูกค้าเก่าทำให้สุรีย์พรมีฐานลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำสูงกว่าลูกค้าใหม่ เช่น ในหลายเดือนที่ผ่านมา มีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ 100,000 คน ขณะที่ลูกค้าใหม่มี 80,000 คน กลุ่มลูกค้าหลักคือ ผู้หญิงต่างจังหวัด ที่อยากสวย และแบรนด์พร้อมที่จะเสริมสร้างความมั่นใจให้พวกเขา โดยมองว่าลูกค้าคือเพื่อน และเป็นคนให้คำตอบที่ดีที่สุดเกี่ยวกับสินค้า
การเติบโตผ่าน TikTok และจุดเปลี่ยนในวิกฤต
อายเป็นคนไลฟ์เอง ทำคลิปเอง และใช้แพลตฟอร์ม TikTok อย่างหนักมาตั้งแต่ยังไม่มี TikTok Shop เธอเริ่มทำ TikTok อย่างจริงจังในช่วงโควิดปี 2020 ก่อนหน้านั้นเธอขายผ่านระบบตัวแทน แต่ในช่วงโควิดยอดขายจาก 30 ล้านบาทต่อปี ลดเหลือ 15 ล้านบาท
เมื่อตัวแทนไม่สั่งสินค้า ทำให้เธอต้องรับภาระหนักและเริ่มมาไลฟ์ขายของเอง จุดที่ทำให้เธอตัดสินใจเด็ดขาดคือเสียงจากตัวแทนจำหน่ายที่ส่งมาว่า
"อย่าลืมนะว่าเธอมีวันนี้ได้เพราะตัวแทน"
ประโยคนั้นทำให้เธอเจ็บใจและต้องการพิสูจน์ว่าเธอมีวันนี้ได้เพราะตัวเธอเอง ตั้งแต่นั้นมา เธอจึงตัดระบบตัวแทนออกและดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง
เป้าหมายในอนาคตและความท้าทาย
ปัจจุบัน สุรีย์พร ผลิตแป้งพัฟปีละ 2 ล้านกว่าชิ้น และมีเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ 500 ล้านบาท อายเล่าว่า แม้ในมุมตัวเลขจะเติบโต แต่ในมุมมองของตัวเอง เธอยังรู้สึกว่าแบรนด์ยังอ่อนและต้องเรียนรู้และพัฒนาอีกมาก
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือ การแข่งกับตัวเอง และการไม่หยุดพัฒนา เธอจึงเปรียบเทียบแบรนด์สุรีย์พรว่าเหมือนกับ "อาหารอีสาน" ที่มีคนชอบรสจัดและไม่ชอบรสจืด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนทั้งชอบและไม่ชอบผลิตภัณฑ์ แต่กำลังใจสำคัญของเธอคือลูกค้าที่เข้ามาตอบคอมเมนต์ในเชิงบวกเมื่อมีรีวิวเชิงลบ
"ถ้าล้ม สิ่งที่ทำก็คือต้องรีบลุก ลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังเจ็บ"
คือปรัชญาที่เธอใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยเธอมองว่าทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตคือโอกาส และพร้อมจะคว้าไว้
โตมาด้วยสองมือ และความไม่รู้ที่กลายเป็นพลัง
อายเล่าว่า เราไม่ได้มีความรู้เรื่องการตลาด ทุกอย่างทำมาจากศูนย์ แบรนด์นี้ไม่ได้เริ่มจากออฟฟิศใหญ่โต ไม่ได้มีทีมมาร์เก็ตติ้งมืออาชีพ แต่เริ่มจากบ้านหลังหนึ่งในอุดรธานี ที่มีเธอ แฟน และครอบครัว ช่วยกันทำทุกอย่างด้วยมือของตัวเอง
แม้วันนี้แบรนด์จะถูกพูดถึงทั่วประเทศ แต่เธอยังไม่เคยมองว่าตัวเอง “สำเร็จแล้ว”
“ถ้ามองว่าตอนนี้เราโตแค่ไหน ก็คิดว่ายังไม่โตเลย เราต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ทุกเหตุการณ์คือโอกาสไม่ว่าจะเป็นดราม่า ยอดขายตก หรือการต้องเริ่มจากศูนย์ อายมองทุกอย่างเป็นบทเรียนที่ผลักให้เดินไปข้างหน้า ถ้าวันนี้เราทำได้ดี พรุ่งนี้ก็ลองเพิ่มเป้าหมายขึ้นอีกนิด ถ้าวันนี้ดีวันหน้าก็ต้องดีกว่าเดิมแน่นอน”



2+





