


1+


ของดีอ่างทอง “จักสานบ้านตลาดใหม่” ฝีมือชุมชน โดนใจญี่ปุ่น
จากงานไม้ไผ่พื้นบ้าน สู่สินค้าโอทอปพรีเมียม “ฐิติพัชร์ รวยทรัพย์” ปลุกจักสานบ้านตลาดใหม่ จ.อ่างทอง ให้มีชีวิต สร้างรายได้ อยากโกอินเตอร์ นำร่องส่งออกญี่ปุ่นแล้ว
จากภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน กลายเป็นอาชีพสร้างรายได้มั่นคงให้กับคนในชุมชน “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตจักสานบ้านตลาดใหม่” ในตำบลตลาดใหม่ อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เริ่มต้นเพียง 10 คน วันนี้เติบโตเป็นกลุ่มเข้มแข็ง มีสมาชิกกว่า 20 คนที่รวมพลังกันสานงานไม้ไผ่และหวายให้กลายเป็นงานศิลป์ชิ้นงาม
โพสต์ทูเดย์ ได้พบกับ “ฐิติพัชร์ รวยทรัพย์” ผู้นำวิสาหกิจฯ ที่ตลาดวัดไชโย เรือนไทยมาร์เก็ต จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นศูนย์รวมสินค้าโอทอป สินค้าดีเด่นของจังหวัดมาเปิดหน้าร้านขาย
นอกจากฐิติพัชร์ จะเป็นผู้นำของกลุ่มแล้ว เขายังเป็นผู้ริเริ่ม ชักชวนชุมชนให้เข้ามารวมกลุ่ม หยิบ “ภูมิปัญญาเก่า” ที่ปู่ย่าตายายเคยทำมาฟื้นชีวิตใหม่ โดยฐิติพัชร์เล่าว่า
“เราอยากให้งานจักสานไม่หายไป เพราะมันคือรากเหง้าและชีวิตของคนอ่างทอง”
ซึ่งการจักสานเริ่มมาตั้งแต่ปี 2528 โดยเริ่มต้นจากสมาชิก 10 คน แต่ละคนมีอาชีพทำไร่ทำนา แต่เนื่องจากรายได้น้อย กำไรไม่มี แถมยังเหนื่อยล้า จึงหันมาทำอาชีพจักสาน จากเดิมทำเพื่อเป็นอาชีพเสริม พอมีรายได้ก็เริ่มหันมาทำจริงจัง จนปัจจุบันมีสมาชิก 20 คน จากเดิมงานสินค้า จะค้าขายให้กับคนในชุมชน หรือคนรู้จักก็จะมาติดต่อซื้อโดยตรง เพราะไม่มีหน้าร้าน แต่ปัจจุบันได้โอกาสได้มาเปิดหน้าร้านที่ ตลาดวัดไชโย ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขายดีขึ้นหลังจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่สู้ดีนัก
ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ไม้ไผ่-หวาย มาจักสาน
ฐิติพัชร์ บอกอีกว่า ในฐานะประธานกลุ่มได้ออกแบบลวดลายและชิ้นงานทั้งหมดด้วยตนเอง และยังทำหน้าที่ควบคุมคุณภาพ (QC) ให้แก่กลุ่มด้วย จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้งานจักสานนี้คงอยู่ต่อไป เนื่องจากเป็นงานที่นับวันจะสูญหาย
ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มโดดเด่นด้วยการใช้ ไม้ไผ่ศรีสุก ที่ปลูกเองในชุมชนเป็นวัตถุดิบหลักกว่า 90% ผสมกับหวายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง งานแต่ละชิ้นเต็มไปด้วยรายละเอียด เช่น ตะกร้าหูหิ้ว กระเป๋าถือสตรีทรงรี โคมไฟ เชี่ยนหมาก และของที่ระลึก ลวดลายบางชิ้นแฝงเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่าง “ลายดอกมะพร้าว” ทุกชิ้นผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็น 5 แผนกย่อย ตั้งแต่จักตอก สาน ผูกขอบ ทำหู ไปจนถึงบุผ้า เพื่อให้ได้มาตรฐานและความสวยงาม อายุการใช้งานยาวนานกว่า 10 ปี เพราะมีการเคลือบเงาป้องกันมอดและแมลง
งานจักสานเป็นงานที่ค่อนข้างปราณีตและช้าบางชิ้นงานใช้เวลาราว 1 สัปดาห์ ที่ผ่านมา SME D Bank ได้เข้ามาสนับสนุนเครื่องมือ โดยได้มีการนำ “กี่ทอผ้า” มาดัดแปลงเป็นเครื่องทอหวาย ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดระยะเวลาการผลิตสินค้า นวัตกรรมนี้สามารถลดเวลาการผลิตจาก 1 สัปดาห์ต่อ 1 ชิ้น ให้เหลือเพียงประมาณ 3 วัน ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนด้านค่าแรงลดลง
ขายช่องทางหลากหลาย
สินค้าของวิสหากิจวางจำหน่ายผ่าน ช่องทางหลากหลาย จากเดิมขายในโอทอปจังหวัด บ้างออกบูธตามวาระสำคัญ ปัจจุบันมีวางจำหน่ายที่ช็อปของ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT ที่สนามบินสุวรรณภูมิ , มีจำหน่ายภูเก็ต, พารากอน, และที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร โดยที่สินค้ามีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 850 บาทและมีราคาสูงไปจนถึงหลักหมื่น สำหรับสินค้าที่เป็น OTOP พรีเมียม โดยเฉพาะกระเป๋า
รายได้หลักแสนต่อเดือนก่อนโควิด
เมื่อถามถึงรายได้ ฐิติพัชร์ กล่าวว่า การออกร้านตามงานอีเวนต์ใหญ่ ในสมัยก่อน 9 วัน สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 250,000 บาท แต่ปัจจุบันลดลงเหลือครึ่งเดียว
“ในมุมมองของรายได้ในอดีตรายได้รวมต่อเดือนของกลุ่ม เคยอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท แต่ได้ลดลงเหลือประมาณ 30,000 ถึง 50,000 บาทต่อเดือน ในปัจจุบัน นับตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา หรือลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมานั้น ไม่มีสินค้าคงค้างเลย และสามารถขายได้ตลอด”
โดนใจลูกค้าญี่ปุ่น
การขายแบบ หน้าร้าน/ออฟไลน์ ยังขายดีกว่าการขายออนไลน์ โดยสถานที่ที่ขายดีที่สุดคือการไปออกงานใหญ่ ๆ เป็นผลทำให้มีผู้ค้าจากญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ติดต่อขอนำสินค้า โดยเฉพาะ “กระเป๋าถือสตรีทรงรี” ซึ่งกลายเป็นสินค้าขายดีประจำกลุ่มไปขายยังประเทศปลายทาง
สำหรับญี่ปุ่น มีการติดต่อโดยตรง โดยชาวญี่ปุ่นได้เข้ามาติดต่อผ่านศูนย์ศิลปาชีพระหว่างประเทศ และนัดเจอเพื่อดูผลิตภัณฑ์ที่เมืองทอง ฝ่ายญี่ปุ่นถูกใจและสั่งซื้อเบื้องต้น และเขามีแผนอยากจะนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปวางขายที่ห้างสรรพสินค้าในญี่ปุ่น แต่เบื้องต้นครั้งแรกส่งออกไป 20 ชิ้น และหากได้รับความนิยม อาจมีการสั่งซื้อมากถึง 100 ชิ้นต่อแบบ ส่วนการส่งออกไปยังอเมริกา นั้นจะผ่านเครือข่ายที่ดำเนินการส่งสินค้าอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว
สานต่อรุ่นสู่รุ่น ภายใต้ชื่อแบรนด์ “วรรณวิเศษ”
นอกจากจะเป็นนักออกแบบและควบคุมคุณภาพสินค้า ฐิติพัชร์ยังทำหน้าที่เป็น “ครูภูมิปัญญา” ถ่ายทอดความรู้ให้กับคนในชุมชน นักเรียน นักศึกษา และเครือข่ายจังหวัดใกล้เคียง เพื่อสร้างอาชีพและความยั่งยืน
“ตอนนี้เราส่งไม้ต่อให้รุ่นที่ 4 ภายใต้แบรนด์ "วรรณวิเศษ" เราอยากให้งานจักสานดูร่วมสมัยมากขึ้น เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ง่าย และเห็นว่าภูมิปัญญาไทยก็สามารถเติบโตในตลาดโลกได้เช่นกัน”
ฐิติพัชร์เล่าว่า ทิ้งท้ายว่า การมาเปิดร้านที่ตลาดวัดไชโยคือก้าวใหม่ของกลุ่ม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่กลับมาเยือนอ่างทองอีกครั้งในปลายปีนี้ พร้อมหวังว่างานจักสานของชุมชนจะยังคงสานต่อ เรื่องราวแห่งไม้ไผ่ ให้คนรุ่นต่อไปได้ภูมิใจไม่รู้จบ



1+




