ต้องรอด! เกมเดิมพัน SME - Startup ไทย จุดไฟธุรกิจสู่ตลาดทุน

ในห้วงเวลาที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และ Startup ต้องต่อสู้กับพายุรอบด้าน เงินทุนหายาก ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม เทคโนโลยีไหลเร็วเกินตามทัน และทุนต่างชาติเข้ามาแย่งตลาด การ "อยู่รอด" จึงไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือ เดิมพันของชีวิตธุรกิจไทย

แต่ท่ามกลางความมืดนั้น... ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กลับเลือก "จุดไฟ" ให้ผู้ประกอบการอีกครั้ง ผ่านภารกิจ SME ต้องรอด และเครื่องมือสำคัญอย่าง LiVE Platform ที่ไม่ได้มีเพียงให้ความรู้ แต่ "ปลุกศักยภาพ" และ "เปิดประตูสู่ตลาดทุน" ให้กับ SME และ Startup ไทยกว่า 10,000 ราย

คุณประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ และ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด เล่าให้ "โพสต์ทูเดย์" ถึงจุดเริ่มต้นของภารกิจผู้ให้ในทุกมิติ ทั้ง ให้ความรู้ โอกาสการลงทุน และเงินลงทุนให้ผู้ประกอบการทุกคน

ที่ผ่านมาจึงก่อตั้ง LiVE Exchange และ LiVE Platform ขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯโดยตรง แต่ "เราต้องการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เขามีความรู้ มีความพร้อม" เพื่อให้พวกเขาเข้มแข็ง และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนรูปแบบอื่นๆได้ด้วย

และด้วยสถานการณ์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายเล็กๆเผชิญความยากลำบากที่จะเติบโต ไอเดียโครงการ "SME ต้องรอด" จึงบังเกิด ด้วยเหตุนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงตัดสินใจขยายบทบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเหล่านี้

LiVE Platform แพลตฟอร์มแห่งโอกาส

LiVE Platform เป็นส่วนหนึ่งของโครงการใหญ่ที่เสริมกระดาน LiVE Exchange ซึ่งเกิดขึ้นจากการพัฒนาต่อยอดมาจาก "ห้องเรียนผู้ประกอบการ" ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้สะสมองค์ความรู้มานานกว่า 10 ปี Live Platform ถูกออกแบบมาให้เป็นแหล่งความรู้และเครื่องมือที่จะทำให้ผู้ประกอบการมีความแข็งแรง เติบโต และมีศักยภาพมากขึ้น

LiVE Platform ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจตั้งแต่ระดับย่อยจนถึงบริษัทที่สนใจเข้าสู่แหล่งเงินทุน

1. แหล่งความรู้ (Education Platform) : รวบรวมองค์ความรู้กว่า 1,000 Content ทั้ง e-learning, สัมมนา, และ Infographic

2. เครื่องมือ (Tools) : เครื่องมือสำหรับการทำ Financial Health Check ร่วมกับสภาวิชาชีพบัญชีและ KPMG, การประเมินความพร้อมในการ IPO, และ Risk Management ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเข้ามาทดลองใช้เพื่อพัฒนา Gap ของตนเอง

3. LiVE Academy (แหล่งบ่มเพาะ) : หลักสูตรเตรียมความพร้อม 3 ระดับ ซึ่งทั้งหมดได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก "กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)"

• โปรแกรม LiVE Spark เน้น Up skill/Re skill ให้บุคลากร (ไม่โฟกัสรายได้ของบริษัท) ทุนสนับสนุน 25,000 บาทต่อบริษัท จัดสรรทุนไปแล้วกว่า 1,200 ราย
• โปรแกรม Incubation Program สำหรับธุรกิจที่ต้องการ Scale เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน กำหนดเกณฑ์รายได้เริ่มต้นที่ 1.8 ล้านบาทต่อปี (ไม่ว่ามีกำไรหรือขาดทุน) ทุนสนับสนุน 50,000 บาทต่อบริษัท จำนวน 1,800 ราย
• โปรแกรม Acceleration Program สำหรับกลุ่มที่มีเป้าหมายชัดเจนในการระดมทุน มีการ Coaching และต้องจัดทำ Filing เบื้องต้นเพื่อวาง Journey Road Map ทุนสนับสนุนสูงสุด 1 ล้านบาท ทาง CMDF สนับสนุนไม่เกิน 75% มีบริษัทเข้าร่วมราว 350 แห่ง

จุดไฟให้ธุรกิจ: ความสำเร็จและเคสที่ก้าวเข้าสู่ตลาดทุน

จากความมุ่งมั่นในการ Groom ธุรกิจขนาดเล็กให้มีความพร้อมทุกมิติ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

บริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์: บริษัทที่ผ่านโปรแกรม Acceleration และเข้าจดทะเบียนสำเร็จ ได้แก่ ปลูกผักโอ้กะจู๋ ซึ่งการเข้าร่วมโครงการช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจเรื่อง Valuation และระบบบัญชี ช่วยปูทางในการเจรจาและเข้าใจการลงทุนของกลุ่มทุนใหญ่ได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมี Real Smart ที่เข้าจดทะเบียนในตลาด LiVE Exchange และ Specially ที่เข้าจดทะเบียนในตลาด SET

เป้าหมายที่กำลังจะมาถึง: ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ผ่านการบ่มเพาะในโครงการ Acceleration Program และกำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวเข้าระดมทุนในตลาดอย่างจริงจังเกินกว่า 20 บริษัท

คุณประพันธ์ เผยความฝันเกี่ยวกับแพลตฟอร์มนี้ว่า ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งานในแพลตฟอร์มหลัก 10,000 ราย แต่สิ่งที่ตั้งความหวังไว้คือ "อยากเห็นหลักแสนราย" เข้ามาใช้ประโยชน์จาก Live Platform

แม้จะทราบว่าเป็นเรื่องยากเพราะต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มโซเชียล อย่าง TikTok ก็ตาม แต่ก็จะพยายามอย่างมุ่งมั่นให้มียอดเข้าร่วมแพลตฟอร์มเป็น 20,000 รายและขยับขึ้นต่อเนื่องในอนาคต

SME ต้องรอด! อีเวนต์ที่กระแสตอบรับแรงจนต้องปิดรับลงทะเบียน

เพื่อแก้ Pain Point ของ SME โดยตรง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับพันธมิตรหลายหน่วยงาน เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ, NIA, OR, SME D-Bank, และ AIS จัดอีเวนต์ใหญ่ที่ชื่อว่า "SME ต้องรอด" ขึ้นเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา

ด้วยงานนี้ถือเป็นงานแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เคยจัดรูปแบบนี้มาก่อน เน้น How-to ใช้งานได้จริง ไม่ยืดเยื้อ เนื้อหาเน้นการแก้ Pain Point 4 เรื่องหลัก คือ แหล่งเงินทุน, กลยุทธ์ธุรกิจ, บุคลากร, เทคโนโลยี / AI

รูปแบบของงานเน้นการจัด 4 ห้องสัมมนาพร้อมกันตลอดทั้งวัน โดยมีบรรยายสั้นเพียง 45 นาทีจบ เน้น "ทำยังไง" ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ได้เลยทันที

ถือว่ากระแสตอบรับเกินคาด ด้วยงานนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย และได้รับความสนใจอย่างถล่มทลาย โดยมีผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าทะลุ 1,600 คน ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ จนต้องหยุดรับลงทะเบียนก่อนวันงานเกือบ 2 สัปดาห์

ผู้เข้าร่วมจริง แม้จะมีผู้ลงทะเบียนรวม Walk-in ประมาณ 1,800-2,000 คน แต่มีผู้เข้าร่วมงานจริงประมาณ 1,000 คน ทำให้ทุกห้องสัมมนาเต็มแน่น

อนาคตของการสนับสนุน AI และการร่วมมือที่เข้มข้นขึ้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีสโลแกน คือ "Make the Capital Market work for everyone" การสนับสนุน SME และ Startup จึงเป็นภารกิจสำคัญ

ด้วยทิศทางการทำงานในอนาคต 3 เรื่องหลัก

1. การสนับสนุนและให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเข้าถึงแหล่งเงินทุน
2. นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยย่อย จัดหมวดหมู่ และทำเนื้อหาที่น่าสนใจ จาก Content กว่า 1,000 Content ที่มีอยู่
3. ร่วมมือกับพันธมิตร (Integrate ความร่วมมือ) ให้มากขึ้น เพื่อสร้าง Impact ให้กับ SME ไทย

และสำหรับผู้ที่พลาดงานใหญ่ที่ผ่านมา คุณประพันธ์ยืนยันว่า "SME ต้องรอด" ที่ตั้งใจจัดเพียงครั้งเดียวจะถูกสานต่อให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นในปี 2569 โดยมีการชักชวนพันธมิตรต่างๆเข้ามาร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อสร้าง Impact ให้กับ SME และ Startup ไทยสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง.