PASAYA ชี้โลกเดือดใกล้ถึง "จุดไม่หวนกลับ" โรงงานนำร่องพลังงานสะอาด
PASAYA ชี้วิกฤตโลกเดือดเหลือเวลา 5 ปีถึง "จุดที่ไม่หวนกลับ" ทางรอดโรงงานสิ่งทอหันใช้พลังงานสะอาด “โซลาร์-แบตตอรี่” ลดต้นทุน ลดปล่อยคาร์บอนฯ
KEY
POINTS
- PASAYA ชี้วิกฤตโลกเดือดเข้าใกล้ "จุดไม่หวนกลับ" ในอีก 5 ปี
- อุตสาหกรรมสิ่งทอหนึ่งในตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตจำนวนมาก
- ทางออกวิกฤตทุกอุตสาหกรรมต้องร่วมมือกันลดการปล่อยคาร์บอน โดยเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า
- PASAYA นำร่องใช้พลังงานสะอาด ลงทุนโซลาร์เซลล์ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมสิ่งทอ นับว่าเป็นตัวทำลายธรรมชาติรุนแรงและทำให้เกิดปัญหามลภาวะ เนื่องจากมีการใช้พลังงานมหาศาลจากกระบวนการผลิต
ชเล วุทธานันนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ จำกัด (แบรนด์ PASAYA) กล่าวถึงประเด็นนี้ในงานสัมมนา “A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ในงาน Sustainability Expo 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
โดยยืนยันว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นตัวทำลายธรรมชาติที่รุนแรงมากเนื่องจากกระบวนการผลิตต้องมีการเผาเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการรีดผ้า ต้มผ้า ย้อมผ้า และซักผ้า ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะปัญหาการปล่อยน้ำเสียจำนวนมาก แม้ในปัจจุบันจะมีกฎหมายควบคุม แต่ก็ยังพบว่ายังมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำลำคลองอยู่บ้าง
นั่นจึงเป็นเหตุผลโรงงานมุ่งหน้าสู่โรงงานสีเขียวและความยั่งยืน (Sustainability)
ชเล กล่าวต่อว่า การตัดสินใจดำเนินการในเรื่องความยั่งยืนนั้นต้องอาศัย 2 ปัจจัยหลัก คือ ต้องมีสำนึกเป็นเรื่องแรก ต่อมาคือความรู้ การมีสำนึกอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีความรู้ด้วยว่าเราจะลดปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร
ผู้ประกอบการรายกลางหรือรายเล็กมักจะมีข้อกังวลว่าการทำเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นไม่คุ้มทุนและไม่ยอมลงทุน
อย่างไรก็ตาม ชเล พบว่าในทางปฏิบัติแล้ว การดำเนินการด้านความยั่งยืนและการลดสิ่งที่ไม่ดีออกไปนั้น สามารถทำให้มีต้นทุนที่น้อยลงได้ และการบริหารจัดการที่ดีมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุ้มค่าแน่นอน
นอกจากนี้ การทำโรงงานให้มีสภาพที่ดี จะช่วยให้สามารถขายสินค้าในราคาที่ดีขึ้นได้ แต่หากโรงงานไม่ดี สินค้าก็จะถูกกดราคาลง
ชเล ยกตัวอย่างสมัยที่โรงงานยังอยู่พระประแดง หากลูกค้าเห็นกองขยะทุก 1 กอง จะถูกหักราคาสินค้า 10 เปอร์เซ็นต์ และหากเห็นครบ 10 กอง จะถูกหักราคาถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาพลักษณ์ของสภาพแวดล้อมโรงงานมีผลต่อคุณภาพและราคาที่ลูกค้าเชื่อมั่น
ดังนั้น PASAYA มีนโยบายในการทำงานร่วมกับชุมชน และไม่ปล่อยสิ่งที่ไม่มีคุณภาพออกไป โดยยกตัวอย่างเช่น การจัดการน้ำ โรงงานมีบ่อน้ำภายในโรงงานสำหรับเลี้ยงปลา และน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว (Treated water) ถือเป็นน้ำสะอาดที่ผ่านมาตรฐานการควบคุมของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถปล่อยสู่ไร่นา ได้โดยไม่เป็นผลเสียต่อพื้นที่การเกษตร (เรือกสวนไร่นา) ของชุมชน เพื่อให้การจัดการสิ่งแวดล้อมทำได้ง่ายขึ้น โรงงานได้ย้ายไปตั้งที่ราชบุรีในปี 1995 ซึ่งเป็น 5 ปีหลังการก่อตั้ง ทำให้มีพื้นที่กว้างขวางขึ้นในการจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม น้ำเสีย และอากาศเสีย
ส่วนกลยุทธ์ Supply Chain และการสร้างแบรนด์ PASAYA เป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการจัดการการผลิตแบบครบวงจร (Product) ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คือสามารถทำตั้งแต่ทอผ้า ทำเส้นด้ายพิเศษบางอย่าง ฟอกย้อม ตัดเย็บ จนกระทั่งถึงจุดขายต่อผู้บริโภค ซึ่งทำให้การควบคุม Supply Chain ทำได้ง่ายขึ้น โดยมีนโยบายชัดเจนให้ทุกขั้นตอนจะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green) และลดความสูญเสียต่างๆ
ในอดีตประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา PASAYA เคยมีนโยบาย ซื้อวัตถุดิบภายในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว เพื่อสนับสนุนธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าการนำเข้าจากต่างประเทศอาจทำให้ต้นทุนถูกลง แต่มีต้นทุนแฝงหลายอย่างตามมา เช่น ต้องสต๊อกสินค้ามากขึ้น ระยะเวลาในการขนส่งที่ยาวนานขึ้น และความยุ่งยากในการจัดการหากคุณภาพมีปัญหา
จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ การตัดสินใจ หนีจากการเป็น OEM และสร้างแบรนด์ของตัวเองคือ PASAYA ขึ้นในปี 2002 เหตุผลที่ต้องทำแบรนด์เพราะโรงงานสิ่งทอส่วนมากเป็นเพียง OEM และหากมีการผลิตในราคาที่แพงขึ้น แบรนด์ใหญ่ก็จะย้ายฐานการผลิตไปที่อื่นในที่สุด
วิกฤตสภาพภูมิอากาศ เกินจุดเตือนภัยสู่จุดที่ไม่หวนกลับ
ชเล ได้แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ว่า การพูดถึงเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการนำกลับมาใช้ใหม่นั้นไม่เพียงพอ ปัญหาหลักที่แท้จริงคือภาวะโลกร้อน ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตและการเดินทางที่มากเกินไป
โลกได้ผ่านจุดวิกฤตที่นักวิทยาศาสตร์เตือนไว้แล้วเพราะ อุณหภูมิโลกได้ เกิน 1.75 องศาเซลเซียส ไปแล้ว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าไม่ควรเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มขึ้น หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส จะถึงจุดที่เรียกว่า "Point of No Return" ก็เหมือนกู่ไม่กลับแล้ว เป็นสิ่งที่อันตรายมากเราเหลือระยะห่างเพียงแค่ 0.25 องศาเซลเซียสเท่านั้น โดยคาดการณ์ว่าอาจจะถึงจุดนั้นภายใน 5 ปี ผลกระทบของวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ ภาวะภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง เช่น ภาวะแห้งแล้งขั้นสุด ฝนไม่ตกหรือไม่ตกเป็นหย่อม ๆ และปัญหาน้ำท่วม
ชเลระบุว่า กรุงเทพฯ มีสิทธิ์ที่จะเจอภาวะน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นมา ภายในประมาณ 20 ปี ทางออกเดียว เปลี่ยนสู่พลังงานไฟฟ้าเพื่อลดคาร์บอน
เขาเน้นย้ำว่าทางออกของปัญหานี้มีอยู่ทางเดียวคือ ต้องร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกอุตสาหกรรม โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นสามารถทำได้ไม่ยาก
การใช้พลังงานในอดีตมักเกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการใช้พลังงานในภาคการเดินทาง
ความร้อนในอุตสาหกรรม การให้ความร้อนกับหม้อต้มน้ำสามารถเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ ไปใช้ ไฟฟ้า ได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ PASAYA ดำเนินการอยู่ อุณหภูมิสูงสุดที่ต้องการไม่เกิน 180 องศาเซลเซียส ซึ่ง ทั้งหมดสามารถเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าได้
กลยุทธ์ PASAYA โซลาร์เซลล์คือคำตอบด้านต้นทุน
แม้ว่าในวันนี้การใช้ไฟฟ้าทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลจะยังไม่คุ้มทุน ชเล ได้เผยผลการทดลองและการลงทุนโครงการประหยัดพลังงานของบริษัทว่า พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เป็นกุญแจสำคัญในการลดต้นทุน
ต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีต้นทุนเพียงแค่ประมาณ 1.10 - 1.20 บาทต่อยูนิตเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงาน ซึ่งประหยัดกว่ามากเมื่อเทียบกับไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฯ ต้นทุนไฟฟ้าปกติ ไฟฟ้าที่ถูกที่สุดคือช่วงกลางคืน (2.50 บาท) และช่วงที่แพงที่สุดคือกลางวัน (โดยทั่วไปต้องจ่ายถึง 5 บาท) เป้าหมายสูงสุด พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่ (Battery Storage) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนและสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง PASAYA ได้มองไปถึงระบบกักเก็บไฟฟ้า เมื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้า และเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ซึ่งราคาลดลงมากแล้ว จะมีต้นทุนการจัดเก็บประมาณ 0.50 บาทต่อยูนิต


