posttoday

ธ.ก.ส.ตั้งเป้าเป็นมากกว่า ‘ธนาคาร’ แต่คือ ‘แกนกลางการเกษตร’

11 กันยายน 2568

ธ.ก.ส.ปรับบทบาทใหม่! ตั้งเป้าเป็นมากกว่า ‘ธนาคาร’ แต่คือ ‘แกนกลางการเกษตร’ เน้นพัฒนาเกษตรกรไทยให้เข้มแข็ง ให้สินเชื่อที่เกษตรกรสามารถฟื้นตัวได้!

ประเทศไทยมีแรงงานภาคการเกษตรอยู่ในระบบเกือบ 13 ล้านคน และในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทยขยายตัวเพียง 7.7% เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามที่มีอัตราการเติบโตราว 53.2% สะท้อนข้อจำกัดในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าทางการเกษตร และขาดการต่อยอดเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต

 

ปัญหาในภาคการเกษตรของไทยมีการนำขึ้นมาถกและตีแผ่ตลอดระยะเวลายาวนานก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามในยุคของ AI และสังคมสูงวัย ดูเหมือนจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้สมบูรณ์ดีนัก! 

 

เพราะเทคโนโลยีได้ ‘สร้างระยะห่าง’ ระหว่างแรงงานเกษตรไทยที่ไม่เท่าทัน กับการพัฒนาวงการเกษตรในประเทศที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตและการตลาด

 

ในขณะที่ปัญหาสังคมสูงวัย ทำให้แรงงานภาคการเกษตรของไทยส่วนใหญ่อายุมาก บางคนต้องทิ้งสวนเมื่อไม่มีแรงงานเข้ามาช่วยทำ หรือบางคนมีต้นทุนเพิ่มเนื่องจากต้องจ้างแรงงานเสริม โดยมีการรายงานว่ากลุ่มแรงงานในภาคเกษตรของไทยนั้นมีอายุเฉลี่ยสูงถึง 62 ปี

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จัดเวที “BAAC EXCLUSIVE DINNER TALK 2025 AGRI REFORM : ปรับวิธีคิด พลิก ECOSYSTEM ให้เติบโต”  เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและแนวคิดระหว่าง ภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในประเด็นที่สุดแสนจะสำคัญ และเป็นความท้าทายต่อภาคการเกษตรของไทยในปัจจุบัน นั่นคือ

 

การเกษตรของไทยจะเติบโตและยกระดับคุณภาพชีวิต ท่ามกลางความท้าทายทางด้านเทคโนโลยี สภาพอากาศ แรงงานสูงวัย ไปได้อย่างไร? 

 

“โลกการเกษตรได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ผู้บริโภคต้องการของคุณภาพสูง  การตลาดต้องใช้เทคโนโลยี การขนส่งต้องสะดวก ไม่ใช่การตั้งแผงขายแบบเดิม

อีกทั้งทุนใหญ่เป็นผู้กำหนดกลไกทางการตลาดไว้หมด การผลิตที่มุ่งเข้าสู่ Modern Trade มีค่า GP ที่สูงมาก

การส่งเสริมให้ผลิตปริมาณมากๆ ราคาต่ำ ทำให้เกษตรกรกลายเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และมี Ecosystem อย่างแท้จริง”

 

ส่วนหนึ่งของปาฐกถาที่ นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ได้สะท้อนถึงความท้าทายต่อเกษตรกรไทยในค่ำคืนดังกล่าว

 

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส.

 

มากกว่าการเป็น ‘ผู้ให้สินเชื่อ’ คือการเป็น ‘แกนกลางทางด้านการเกษตร’

 

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ได้ชี้ถึงบทบาทของธนาคารฯ ในพ.ศ.นี้ ที่จะต้องเป็นมากกว่าการเป็น ‘ผู้ให้สินเชื่อ’

 

เพื่อมุ่งสู่การเป็นธนาคารพัฒนาชนบทที่ยั่งยืน ธ.ก.ส. ต้องปรับวิธีคิด ปรับวิธีการทำงาน เพื่อทำให้เกษตรกรฟื้นตัวได้เร็ว ไม่ใช่การผลักภาระของเกษตรกรออกไป หรือการให้สินเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง ซึ่งจะกลายเป็นภาระของเกษตรกรมากกว่าการช่วยเหลือให้ฟื้นได้อย่างแท้จริง”  

 

ฉะนั้น ‘การให้สินเชื่อ’ ด้วยแนวคิดเดิมๆ ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป แต่ ธ.ก.ส. ต้องควบรวมการเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเกษตร’ หรือที่ทางธ.ก.ส.ใช้คำว่า ‘แกนกลางการเกษตร’ (Essence of Agriculture)  เพื่อสร้างโอกาส เติมความรู้ และสร้างความมั่นคงให้แก่อาชีพเกษตรกร

 

สำหรับ แกนกลางเกษตร (Essence of Agriculture) ประกอบด้วย

  1. การสนับสนุนเงินทุนเพื่อภาคการเกษตร (Funding)
  2. การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการทำการเกษตรแบบใหม่ (Technology)
  3. การพัฒนาตลาดและองค์ความรู้ (Knowledge & Marketing) 
  4. การยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ (Value Added) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดียิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้  แนวคิด ‘แกนกลางเกษตร’ นี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2566 พร้อมกับการเข้าดำรงตำแหน่งของนายฉัตรชัย ศิริไล

 

ผู้บริหารธ.ก.ส.

 

เทคโนโลยีและการตลาด สองโจทย์ยากของเกษตรกรไทย

 

2 แกนที่เป็นเรื่องใหม่และท้าทายกับเกษตรกรไทยอยู่มาก เมื่อพิจารณาจาก 4 ปัจจัยที่ทาง ธ.ก.ส.ตั้งเป้า ก็คือ เทคโนโลยี และการตลาด

 

สำหรับปัญหาด้านเทคโนโลยี เกษตรกรไทยยังคงยึดติดกับรูปแบบการเกษตรดั้งเดิม นอกจากนี้เคยมีรายงานการสำรวจของแอปพลิเคชันทางการเกษตรรายหนึ่งรายงานว่า

 

แม้ว่า 82% ของเกษตรกรไทยมีสมาร์ทโฟน ขณะเดียวกัน 76.7% ใช้อินเทอร์เน็ตวันละ 3–7 ชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่เพื่อโซเชียลมีเดียและความบันเทิง สวนทางกับอัตราการใช้แอปพลิเคชันทางการเกษตรที่ มีเพียง 0.7–1% เท่านั้น

 

ในขณะเดียวกัน โครงสร้างของการขายผลผลิตของเกษตรกรส่วนใหญ่ของไทย ยังต้องพึ่งพาคนกลาง ประกอบกับพื้นที่การเกษตรของไทยเป็นในรูปแบบพื้นที่ขนาดเล็ก ซึ่งไร้อำนาจต่อรองราคากับตลาด

แม้ว่าจะมีการทำเกษตรแปลงใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรเมื่อปี 2567 พบว่ามีเกษตรแปลงใหญ่กว่า 8,015 กลุ่ม ครอบคลุมเกษตรกร 7 แสนกว่าราย แต่คิดเป็นเพียง 5% ของเกษตรกรทั้งระบบของประเทศ รวมกับโครงการอื่นๆ ที่ดำเนินงานอยู่ในลักษณะเดียวกันในชุมชนต่างๆ ก็คงเพิ่มเปอร์เซ็นต์ไม่มากนัก!

 

เมื่อหันกลับมาดูโครงการจาก ธ.ก.ส.ในฐานะที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็ได้เห็นถึงการดำเนินการโครงการใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 2 แกนสำคัญนี้หลายตัว อาทิเช่น

 

  • การจับมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (TISTR) เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ และดำเนินการถ่ายทอดความรู้และนวัตกรรมแก่เกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmers)  สนับสนุนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ การสร้าง แบรนด์ชุมชน และเปลี่ยนเป็น ผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง (Glam Agro) โดยมีผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จแล้วคือ ‘แบรนด์อุ่นอิ่ม’ ซึ่งเป็นการนำข้าวหอมมะลิ GI ทุ่งกุลาร้องไห้มาผลิตเป็นข้าวพร้อมรับประทาน ที่สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้องได้นานสูด 18 เดือนโดยไม่ต้องแช่เย็น หรือการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ส่งออกที่แข็งแรงต่อแรงกระแทกระหว่างการขนส่งได้ เป็นต้น

 

ความร่วมมือกับ TISTR

 

  • การจับมือกับ GIZ เพื่อดำเนินโครงการ AgriCRF เตรียมรับมือกับความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ และพัฒนาเครื่องมือเงินทุนสีเขียวร่วมกันที่เกิดในปี 2023

 

  • ในด้านของตลาดก็ได้มีการตั้ง BAAC Farmer Market ซึ่งเป็นตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์ในรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมไปถึงการสร้างพื้นที่ตลาดออฟไลน์หน้าที่ทำการธ.ก.ส.เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และมีการพัฒนาช่องทางจำหน่ายในต่างประเทศผ่านเครือข่ายของ ธ.ก.ส.เอง

 

แพลตฟอร์ม BAAC Farmer Market

 

  • อีกโครงการที่นอกจากจะมุ่งแก้ไขปัญหา 4 แกนแล้วยังสามารถรับมือกับความท้าทายด้าน ‘แรงงาน’ ไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีอายุไม่เกิน 45 ปี เพื่อผลักดันเป็น ‘เกษตรกรหัวขบวน’ ที่จะก้าวมาเป็นผู้นำให้แก่เกษตรกรในพื้นที่และพร้อมแข่งขันในเวทีโลก โดยตั้งเป้าในช่วงปี 2567-2571 ปีละ 10,000 ราย รวม 50,000 ราย

 

  • นอกจากนี้ในฐานะธนาคาร ยังได้มีการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่จะเข้ามาส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร เช่นความร่วมมือกับเจียไต๋ วงเงินราว 6 หมื่นล้านบาท หรือสินเชื่อ Smart Tech ที่สามารถยื่นกู้ได้ถึง 95% ของมูลค่าลงทุนสำหรับเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เป็นต้น หรือการสนับสนุนเงินทุน และเงื่อนไขพิเศษในการต่อยอดธุรกิจในโครงการเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่มีวงเงินกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ผ่านสินเชื่อ BCG Model วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เป็นต้น

 

เกษตรธนากร อีกโครงการที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิด 'เกษตรกรรุ่นใหม่'

....

 

ท้ายนี้ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวประโยคหนึ่งในงานว่า 

 

“เราเคียงข้างเกษตรกรไทยมาโดยตลอด  ไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้สินเชื่อ  แต่เราเป็น องค์รวม เนื้อเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้”

 

ในฐานะที่เป็นธนาคารซึ่งมีแบรนด์ที่ชัดเจนถึงความเป็น ‘ธนาคารเพื่อการเกษตร’ นั่นย่อมหมายถึงความอยู่รอดของเกษตรกรไทย ย่อมหมายถึงความสำเร็จของธนาคาร

และในระยะเวลากว่า 2 ปีที่ ธ.ก.ส.ลุกขึ้นมาปรับบทบาทเพื่อทำหน้าที่มากกว่าการเป็น ‘ธนาคารผู้ให้สินเชื่อ’ จะทำให้ ธ.ก.ส.เป็นที่พึ่งให้แก่เกษตรกรไทยได้มากขึ้นเพียงใด เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป.

ข่าวล่าสุด

"สุภกิต" นำทัพซีพีอาสาพื้นที่หาดใหญ่ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ช่วยชาติยามวิกฤต