หนี้ SME ไตรมาส1/68 แย่กว่าหลังโควิด แนะปรับ “โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่”
แนะสถาบันการเงินควรแก้หนี้ก่อนเป็น NPL สร้างความยั่งยืนด้วยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ เพิ่มขีดความสามารถสร้างรายได้ให้ธุรกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพของบัญชีธุรกิจในฐานข้อมูลเครดิตบูโร ไตรมาส 1/2568 แม้จะเริ่มทรงตัว แต่ประเด็นสำคัญที่พบคือ การย้ำทิศทางที่แย่กว่าหลังโควิด โดยธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ปัญหาคุณภาพหนี้ยิ่งมีความรุนแรง่วขึ้น ขณะที่ เริ่มมีสัญญาณปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ ขยายวงกว้างขึ้น จากกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ขยับขึ้นมาที่ธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจที่พักแรม ค้าส่งค้าปลีก ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์
จากการวิเคราะห์พฤติกรรมการชำระหนี้ พบว่า การปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงินเจ้าหนี้ มีประสิทธิผลในการช่วยชะลอปัญหาหนี้เสียได้ในกลุ่มหนี้ที่ยังมีวันค้างชำระไม่มาก แต่หากค้างชำระนานจนถูกจัดชั้น NPL แล้ว โอกาสกลับมาสู่ชั้นหนี้ดีขึ้นจะมีไม่ถึง 10%
ดังนั้น การป้องกันปัญหาหนี้เสียในภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงควรเน้นช่วงก่อนการเป็น NPL มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ท้ายสุด การแก้หนี้อย่าง ‘ยั่งยืน’ ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้ให้ธุรกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากข้อมูลระบบธนาคารพาณิชย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในไตรมาส 2/2568 สะท้อนว่า สัดส่วน NPL หรือ Stage 3 ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.83% จาก 2.81% ในไตรมาส 1/2568 โดย NPL ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ยังคงมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs (7.79%)
ขณะที่ NPL ของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ค่อนข้างทรงตัว (1.01%) ส่วน NPL ของสินเชื่อรายย่อยนั้น แม้จะลดลงบ้างในไตรมาส 2/2568 แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย (4.07%) สินเชื่อบัตรเครดิต (3.92%) สินเชื่อบุคคล (2.76%) และสินเชื่อเช่าซื้อ (2.06%)
สินเชื่อ Stage 2 หรือสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาที่ 6.80% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/2568 จากไตรมาสแรกที่ 6.73% แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า สินเชื่อ Stage 2 ของพอร์ตสินเชื่อธุรกิจ SMEs ปรับตัวลงเล็กน้อย ซึ่งสถานการณ์ด้อยคุณภาพของหนี้ SMEs ที่มีทิศทางดีขึ้นดังกล่าว คาดว่าจะเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และโครงการแก้หนี้ต่าง ๆ ของทางการและธนาคารพาณิชย์ อาทิ โครงการคุณสู้เราช่วย เป็นต้น
สินเชื่อธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ยิ่งชัด
รายงานฉบับนี้ จัดแบ่งสินเชื่อธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่ม ตามขนาดยอดคงค้างสินเชื่อ ได้แก่
1) สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ มียอดคงค้างสินเชื่อมากกว่า 500 ล้านบาท
2) สินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง มียอดคงค้างสินเชื่อมากกว่า 100-500 ล้านบาท
3) สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก มียอดคงค้างสินเชื่อมากกว่า 20-100 ล้านบาท
4) สินเชื่อธุรกิจขนาดไมโคร มียอดคงค้างสินเชื่อมากกว่า 5-20 ล้านบาท
5) สินเชื่อธุรกิจขนาดซุปเปอร์ไมโคร มียอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท
การศึกษาพบว่า ธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กลงมา มีปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพมากที่สุด โดยธุรกิจกลุ่มซุปเปอร์ไมโครมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือ NPL ในสัดส่วน 14.81% ตามมาด้วยกลุ่มไมโคร (12.11%) กลุ่มขนาดเล็ก (9.75%) กลุ่มขนาดกลาง 6.51% และกลุ่มขนาดใหญ่ 1.37% นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานการณ์ NPL ของธุรกิจขนาดซุปเปอร์ไมโคร ไมโคร และขนาดเล็ก มีทิศทางที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างชัดเจนติดต่อกันมาแล้วหลายไตรมาสอีกด้วย
SMEs กระทบหนัก ลามถึงธุรกิจใหญ่
SMEs มีการถดถอยของคุณภาพหนี้ติดต่อกันหลายไตรมาส ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจที่พึ่งพากำลังซื้อจากต่างประเทศและในประเทศ อย่างเช่นธุรกิจภาคการผลิตและที่พักแรม และธุรกิจที่พึ่งพากำลังซื้อจากในประเทศเป็นหลัก อย่างเช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์
จุดที่น่าห่วงคือ การขยายวงของปัญหาการด้อยลงของคุณภาพหนี้ได้ลามมาที่ลูกค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีของสินเชื่อธุรกิจที่พักแรม ขณะที่ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกจะเห็นปัญหาชัดขึ้นที่ลูกค้าขนาดกลาง ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์นั้น ปัญหาสะท้อนออกมาในกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งอาจหมายความถึงผลพวงจากปัญหาเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี เพราะขาดแรงส่งในภาคการผลิตและการส่งออก หลังจากได้รับแรงหนุนไปมากแล้วจากประเด็น Front Loading ในช่วงก่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Tariffs) ของสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ภาคการส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบชัดเจนขึ้นจาก Tariffs ของสหรัฐฯ จนมีโอกาสหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดังนั้น จึงมีโอกาสสูงที่จะเริ่มเห็นสัญญาณการถดถอยของคุณภาพหนี้ที่ชัดเจนขึ้นของภาคการผลิต รวมถึงภาคธุรกิจหลักอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน โดยต้องติดตามว่า ปัญหาคุณภาพหนี้จะขยายวงกว้างมาสู่ธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่
สำหรับประเทศไทย เศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพต่อจากนี้ไป ย่อมหมายถึงความจำเป็นในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจระยะยาว ไม่เช่นนั้น ตัวเลขคุณภาพนี้ที่เป็นตัวแปรตามที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจ (Lagging Indicators) ก็จะยิ่งถดถอยลงในอนาคต ซ้ำเติมปัญหาวิกฤตกับดักการพัฒนาประเทศที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อย่างยากจะหลีกเลี่ยง


