"นามัวร์ เจลาโต้" ร้อยเอ็ด ชูรส ‘ไข่ผำ-ปลาร้า’ พร้อมโกอินเตอร์
คุยกับ “สุวัฒนา ข่าขันมะลี” สาวร้อยเอ็ดผู้แปลงเจลาโต้ยุโรปเป็นเจลาโต้อีสาน รสปลาร้า-ไข่ผำ กลายเป็นพระเอกนางเอกขายดี
KEY
POINTS
- คุยกับ “สุวัฒนา ข่าขันมะลี” สาวร้อยเอ็ดผู้แปลงเจลาโต้ยุโรปเป็นเจลาโต้อีสาน สู่แบรนด์ "นามัวร์ เจลาโต้"
- รสปลาร้าคาราเมลอัลมอนด์-มัทฉะไข่ผำ กลายเป็นพระเอกนางเอกขายดี
- 2 ปีลองผิดลองถูก ขยายสาขาแฟรนไชส์ เตรียมพร้อมบุกตลาดต่างประเทศ
ใครจะเชื่อว่าเจลาโต้ (Gelato) ไอศกรีมสไตล์อิตาเลียน วันนี้จะถูกแปลงมาเป็น "เจลาโต้อีสาน "รสชาติปลาร้า ไข่ผำ" ฟังดูน่าแปลก แต่กลับเป็นรสที่ขึ้นชื่อ แถมยังขายดิบขายดีของแบรนด์ที่ชื่อ "นามัวร์ เจลาโต้"
นัวมาร์ เจลาโต้ เป็นแบรนด์ไอศกรีมที่เริ่มต้นจากร้อยเอ็ด ด้วยไอเดียของ สุวัฒนา ข่าขันมะลี หลังจากไปร่ำเรียนในต่างแดน ก่อนจะนำสูตรเจลาโต้ที่ลิ้มลองมาพัฒนาในบ้านเกิดด้วยการหยิบเอาของดีจากร้อยเอ็ด ตั้งแต่ข้าวหอมมะลิ ปลาร้า ไปจนถึงไข่ผำ มาพัฒนาเป็นสูตรเฉพาะตัว
สุวัฒนา เล่าให้ โพสต์ทูเดย์ ฟังว่า หลังเรียนจบด้านบริหารธุรกิจ เธอมีโอกาสไปศึกษาต่อที่เบลเยียม และนั่นเองคือช่วงเวลาที่ได้ลิ้มรสเจลาโต้เป็นครั้งแรก ซึ่งอร่อยมาก ด้วยรสชาติและเนื้อสัมผัสทำให้เธอประทับใจ แต่เมื่อเธอลองถามถึงวัตถุดิบในรสผลไม้ เช่น มะม่วงหรือกะทิ กลับได้รับคำตอบว่า ส่วนใหญ่ใช้แบบขวดหรือ processed food ไม่ใช่ของสด
คำตอบนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยน เพราะทำให้เธอนึกถึงบ้านเกิดประเทศไทย ดินแดนที่อุดมด้วยผลไม้และวัตถุดิบสดใหม่ในฐานะ tropical country เธอจึงตัดสินใจเข้าเรียนกับบริษัทเจลาโต้ชั้นนำของเบลเยียม เพื่อเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ ก่อนจะนำกลับมาพัฒนาสูตรเจลาโต้ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยอย่างแท้จริง
“เพราะมีพื่อนสนิทที่ทำธุรกิจเจลาโต้ประสบความสำเร็จในยุโรป เมื่อเพื่อนรู้ว่าเราสนใจ จึงชวนให้เข้าเรียนกับมาสเตอร์เจลาโต้ ชาวอิตาเลียน ผู้คร่ำหวอดในวงการกว่า 30 ปี มาถ่ายทอดวิชาแบบใกล้ชิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทเจลาโต้ชั้นนำของเบลเยียม หนึ่งในผู้ผลิตระดับท็อปของประเทศ เรียนกับเขาจนได้ Certificate กลับเมืองไทย”
ปั้นเจลาโต้รสชาติอีสาน
สาเหตุที่อยากทำเจลาโต้ ที่เมืองไทย เธอให้เหตุผลว่า เมืองไทยมีวัตถุดิบหลากหลาย อีกทั้ง ยังมีความรู้สึกว่าตนเองโชคดี ซึ่งความโชคดีของเธอหมายถึง มีโอกาสได้เรียนเมืองนอก จึงอยากนำเอาความโชคดีที่ตนเองได้รับ กลับไปมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่น นั่นคือการได้ช่วยเหลือชุมชน ในการรับซื้อวัตถุดิบเพื่อมาแปรรูปเป็นเจลาโต้ที่มีรสชาติไทย ๆ และอีสาน
เมื่อกลับมาที่ร้อยเอ็ด สุวัฒนาเริ่มต้นด้วยการเปิดร้านเจลาโต้ขนาดเล็ก และใช้เวลานานในการพัฒนาสูตร ปรับรสชาติให้เข้ากับคนไทย ก่อนจะตั้งชื่อร้านว่า “นามัวร์” ตามชื่อเมืองที่เธอเคยไปเรียน
วัตถุดิบท้องถิ่น คือหัวใจหลักแบรนด์
หัวใจของแบรนด์คือการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นกว่า 85–90% ตั้งแต่นมและข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ผลไม้ไทยหลากชนิด กะทิ ถั่วกระบก มะม่วง ไข่ผำ ไปจนถึงปลาร้า ซึ่งกลายเป็นซิกเนเจอร์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้
เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการพัฒนาสูตรเองทั้งหมด สุวัฒนาเข้าแล็บ ทดลอง พร้อมลงทุนในเครื่องปั่นไอศกรีมคุณภาพสูงจากอิตาลี ซึ่งใช้งานได้นานกว่า 40 ปี ด้วยทุน 1.4 ล้านบาท
“เราเลือกลงทุนกับสิ่งที่จะเลี้ยงเราได้ตลอดชีวิต และเลี้ยงคนอื่นไปพร้อมกันด้วย”
จนพัฒนารสชาติไอศกรีมกว่า 50 รสชาติ มีรสชาติยูนีคแบบ “ปลาร้าคาราเมลอัลมอนด์” หรือ “ไข่ผำมัทฉะ” ที่เป็นพระเอกนางเอก รวมถึงรสสากลอย่าง ช็อกโกแลตเบลเยียม, Red Velvet, มิ้นท์ช็อกชิพ และโยเกิร์ตชีส
หลังเปิดขายได้เพียง 1 ปี ร้านก็คืนทุนได้ มีการออกบูธตามงานต่าง ๆ ทุกครั้งที่นามัวร์ออกบูธ หรือเปิดร้านข้างไอศกรีมเจ้าใหญ่ รสปลาร้าคาราเมลอัลมอนด์ และไข่ผำมัทฉะมักขายดีที่สุด กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า แม้จะมีผู้เล่นในตลาดบ้าง แต่ การผสมผสานความเป็นอีสานเข้ากับศาสตร์เจลาโต้ยุโรป คือจุดแข็งที่ทำให้แบรนด์แตกต่างและโดดเด่นจริง ๆ
ธุรกิจที่แฟร์กับชุมชน
สุวัฒนา มองว่า นามัวร์ไม่ได้ขายแค่ไอศกรีม แต่ขาย ประสบการณ์และตัวตนของความเป็นอีสาน ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละรสชาติ โมเดลธุรกิจยังช่วยให้ชุมชนได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยการรับซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าตลาด ถือเป็นการคืนกำไรสู่ต้นทาง
“เรารู้ว่าเมื่อแปรรูปเป็นเจลาโต้ มันสร้างมูลค่าเพิ่มได้อยู่แล้ว แต่ถ้าแบ่งกำไรบางส่วนกลับไปให้ชุมชนด้วย มันจะยุติธรรมกว่า”
สำหรับเธอ การเลือกทำเจลาโต้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากความรู้สึกว่า “คนอีสาน ชาวสวน เกิดมาไม่ค่อยแฟร์”
เธอจึงอยากใช้ความโชคดีของตัวเอง การได้เรียนเมืองนอกและรู้จักเพื่อนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อแบ่งปันกลับบ้านเกิด ตามที่กล่าวไป
โตไวใน 2 ปี พร้อมโมเดลแฟรนไชส์
ร้านหลักที่ร้อยเอ็ดเปิดมาแล้วกว่า 2 ปี 3 เดือน และเพิ่งเริ่มขายแฟรนไชส์เมื่อเดือนที่ผ่านมา แต่สามารถเปิดได้แล้วเกือบ 10 สาขา ครอบคลุมทั้งอีสาน กรุงเทพฯ ชลบุรี ขอนแก่น ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช
สาขาต้นแบบที่ร้อยเอ็ดถูกออกแบบเป็น Family Cafe ใส่บรรยากาศสำหรับครอบครัว ทั้งสนามเด็กเล่น สไลเดอร์ ห้องเด็ก รวมถึงอาหาร กาแฟ และพื้นที่จัดงานเลี้ยง ทำให้ร้านกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัด
ชูคอนเซ็ปต์ “นัว” แบบอีสาน
สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ เธอตั้งชื่อว่า “นามัวร์ นัวลึก” (Namua Nuarluek) ชูคอนเซ็ปต์ “นัว” แบบอีสาน แต่ปรับภาพลักษณ์ให้สดใสด้วยโทนสีชมพู เจาะกลุ่มวัยรุ่นและชาวต่างชาติ แฟรนไชส์ของนามัวร์เริ่มต้นเพียง 180,900 บาท สามารถขายได้วันละเฉลี่ย 200 ถ้วย ราคาเริ่มต้น 65-85 บาท โดยเน้นทำเลอย่างตลาดนัด มหาวิทยาลัย ฟู้ดคอร์ทคอมมูนิตี้มอลล์ และแหล่งท่องเที่ยว แทนการเข้าห้างที่ต้นทุนสูงเกินไป
หลังจากที่แฟรนไชส์แรกสามารถคืนทุนได้ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ เจ้าของแบรนด์ก็เริ่มมองเห็นทิศทางชัดเจนว่า “ธุรกิจนี้ไปต่อได้” เธอจึงลงมือทำโมเดลธุรกิจ เขียน Business Plan และเรียนรู้เรื่องแฟรนไชส์อย่างจริงจัง ทั้งด้านการบริหารจัดการ และการทำสัญญากับนักกฎหมาย เพื่อให้ทุกอย่างมีความครอบคลุมและมั่นคง
เธอเล่าว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจ คือการที่แบรนด์ช่วยคัดเลือกทำเล ดูแลระบบบัญชีและการตลาด มี Line official สามารถตรวจสอบจำนวนลูกค้าและสมาชิกได้แบบเรียลไทม์
“ลูกค้าแฟรนไชส์รู้สึกอุ่นใจว่าเราไม่ได้ปล่อยเขาอยู่คนเดียว แต่เราสกรีนพื้นที่ ส่งวัตถุดิบให้ และคอยดูแลระบบหลังบ้านให้ทั้งหมด”
กว่าจะหาตัวตนเจอใช้เวลา 2 ปี
แม้หลายคนจะบอกว่าธุรกิจนี้เติบโตเร็ว แต่เจ้าของแบรนด์กลับมองต่างออกไป
"จริง ๆ ไม่ได้เร็วมาก เพราะลองผิดลองถูกมาเกือบ 2 ปีครึ่ง กว่าจะหาตัวตนที่แท้จริงเจอ ตอนแรกทำเพราะอยากเปิด แต่พอมาโฟกัสจริง ๆ ว่าเราส่งต่อคุณค่าอะไรให้คนอื่นได้ สังคมก็มองเราในแง่บวก และทุกคนพร้อมสนับสนุน"
ความชัดเจนในจุดยืนนี้ทำให้ “เจลาโต้สไตล์อีสาน” ของเธอได้รับการยอมรับว่าเป็นแบรนด์ที่แตกต่าง ถ้าใครอยากชิมเจลาโต้รสอีสาน ก็ต้องมาที่นี่
ปัจจุบัน แบรนด์ได้รับการติดต่อจากหลายจังหวัดที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ สร้างกระแสจนมีผู้สนใจแฟรนไชส์จากกว่า 15 จังหวัด แต่เธอกลับเลือกที่จะ ชะลอการขยาย
“เราปฏิเสธไปก่อน เพราะถ้าโตเร็วแต่ระบบจัดการยังไม่มั่นคง มันจะกระทบชื่อเสียงของเราได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องดูแลแฟรนไชส์ที่เซ็นสัญญาแล้วให้ดีที่สุดก่อน”
สุวัฒนา เล่าว่า ตอนนี้นามัวร์เจลาโต้ สามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 5 ล้านบาทและยอดขายจากแฟรนไชส์ประมาณ 1.8 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะโตได้อีก เมื่อรากฐานแข็งแรง ยังมองไกลไปถึงตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยุโรป ซึ่งเริ่มมีติดต่อเข้ามาบ้างแล้ว
“ทำให้มันสนุก” คือคติประจำใจที่ยึดมาตลอด
สุดท้ายเธอบอกว่า ทุกธุรกิจย่อมมีความเครียด ไม่มีใครหนีพ้น แต่แทนที่จะปล่อยให้ความกังวลกลืนกินใจ เธอเลือกจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็น “ความท้าทาย” ที่ทำให้ทุกเช้าตื่นขึ้นมาอยากลุกไปทำงาน
“ถ้าเลือกแล้วว่าจะทำ ก็ต้องทำให้มันสนุก เครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำให้ทุกวันมีเรื่องใหม่ ๆ ให้ท้าทาย เราจะได้พัฒนาไปเรื่อย ๆ”
เพราะเธอไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น “คนเก่งตั้งแต่แรก” แต่ทุกอย่างเกิดจากการลงมือซอกแซก หาความรู้ ถามผู้รู้ด้านกฎหมาย ศึกษาธุรกิจ ลองผิดลองถูก แล้วนำสิ่งที่เจอมาพัฒนาตัวเองและธุรกิจต่อยอดไปข้างหน้า


