YOLK 8 เดือนยอดขาย 100 ล้าน "อิน-สาริน" เปิดโปรเจกต์คอลแลป 4 แบรนด์ไทย
YOLK เปิดมา 8 เดือน ทำยอดขายทะลุ 100 ล้าน ฝ่าความท้าทายตลาดขนมอายุสั้น รวมพลังกับ 4 แบรนด์ไทย ลุยโปรเจกต์ “Proudly, Made in Thailand” รังสรรค์ทาร์ตไข่รสชาติใหม่
KEY
POINTS
- แบรนด์ YOLK ของ "อิน-สาริน" เปิดมา 8 เดือน ทำยอดขายทะลุ 100 ล้าน พาทาร์ตไข่ขึ้นแท่น Product of the Year ฝ่าความท้าทายตลาดขนมอายุสั้น
- เปิดตัวโปรเจกต์ใหญ่ “Proudly, Made in Thailand” จับมือโอ้กะจู๋, Songwat Coffee Roaster, แก้ว Boutique และ JIANCHA แสดงศักยภาพของแบรนด์ไทย สร้างสรรค์ทาร์ตไข่ 4 รสชาติพิเศษ
- ตั้งเป้าผลักดันยอดขายแตะ 200,000 ชิ้นต่อเดือน
ในระยะเวลาเพียง 8 เดือน หลังจากเปิดตัวแบรนด์ YOLK (โยล์ค) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ทาร์ตไข่ก็กลายเป็นเมนูขนมหวานที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง จนขึ้นแท่น Product of the Year ด้วยยอดขายกว่า 100,000 ชิ้นต่อเดือน และยอดรวมทะลุ 100 ล้านบาท แต่ในโลกธุรกิจอาหารและขนมหวาน สิ่งที่มาแรงและไว มักดับเร็วเสมอ ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำคัญของทุกแบรนด์
อิน-สาริน รณเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่ำรวยที่สุด จำกัด แบรนด์ YOLK กล่าวว่า ขนมที่กลายเป็น Viral Trend มักมีอัตราซื้อซ้ำเพียงราว 10% หรือพูดง่าย ๆ คือ มีลูกค้า 10 คน กลับมาซื้อซ้ำแค่ 1 คนเท่านั้น ขณะเดียวกันวงจรชีวิต (Life Cycle) ของขนมหวานโดยทั่วไปก็สั้นลงเหลือเพียง 45–60 วัน ต่อสินค้าแต่ละรุ่น ทำให้แบรนด์ที่ไม่ปรับตัวมักไม่สามารถยืนระยะได้
อย่างไรก็ดี สินค้าประเภท กึ่งขนมอบหรือกึ่งคาว–หวาน มักมีอายุวงจรยาวกว่า และอัตราซื้อซ้ำสูงกว่า อาจแตะถึง 50% ซึ่งช่วยให้แบรนด์รักษาฐานลูกค้าและเติบโตต่อเนื่องได้ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เร็วขึ้นทุกปี ดังนั้นการวางแผนธุรกิจรายปี (Year Plan) จึงเป็นสิ่งจำเป็น
เปิดโปรเจกต์ใหญ่คอลแลป 4 แบรนด์ไทย
เช่นเดียวกับ แบรนด์ YOLK ที่ต้องปรับตัว โดยสาริน กล่าวต่อว่า หนึ่งในแผนสำคัญปีนี้คือการเปิดตัวโปรเจกต์ใหญ่ “Proudly, Made in Thailand” หรือ “แบรนด์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” โดย YOLK จับมือกับ 4 แบรนด์ดังไทย ได้แก่ โอ้กะจู๋, Songwat Coffee Roaster, แก้ว Boutique และ JIANCHA สร้างสรรค์ทาร์ตไข่ 4 รสชาติพิเศษที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ ตั้งแต่คาว หวาน ไปจนถึงรสผลไม้ การร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นการแสดงพลังแบรนด์ไทยเพื่อต่อกรกับกระแสต่างชาติที่รุกเข้ามาในตลาดขนมไทยมากขึ้น
ซึ่งจะเปิดตัวแบบ 4 รสชาติ ทยอยเปิดตัวทุกวันจันทร์เริ่ม 18 สิงหาคม–31 ตุลาคมนี้ เพื่อให้ทุกเมนูได้รับการสื่อสารอย่างชัดเจนและสร้างกระแสต่อเนื่องในแต่ละสัปดาห์ เช่น
- Truffle Honey Cheese ซุปทรัฟเฟิลชีสน้ำผึ้ง x โอ้กะจู๋
- Songwat Dirty & Fresh Mochi กาแฟเดอร์ตี้โมจินมสด x Songwat Coffee Roasters
- Pandan & Palm Sugar Caramel สังขยาใบเตยน้ำตาลโตนด x แก้ว Boutique
- เจลลี่องุ่นเคียวโฮครีมชีส x JIANCHA
รวมแล้วผู้บริโภคจะได้สัมผัสกับ 4 รสชาติพิเศษจากแบรนด์ไทย ที่มีจำหน่ายในทุกสาขาของ YOLK และจะวางขายยาวไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม รวมถึง Grab Delivery
ส่วนในด้านกลยุทธ์การทำการตลาด เบื้องต้นจะเน้นการสื่อสารแบบต่อเนื่องและครอบคลุม ทั้งการทำแคมเปญสื่อร่วมกับศูนย์การค้าใหญ่ระดับประเทศ เช่น ซีพีเอ็น และเดอะมอลล์ กรุ๊ป การดึงอินฟลูเอนเซอร์กว่า 400 รายเข้ามามีส่วนร่วม การทำ Popup บนแพลตฟอร์ม Grab ตลอดจนการออกแบบหน้าร้านและคอนเทนต์ออนไลน์ในธีมเดียวกัน เพื่อสร้างภาพจำให้ผู้บริโภคเห็นซ้ำทุกช่องทาง
พลังของแบรนด์ไทย ไม่แพ้ชาติไหน
สาริน กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากชวนให้ทุกคนมอง คือศักยภาพของแบรนด์ไทยที่ไม่แพ้ใคร ในวันที่โลกนึกถึงประเทศไทย หลายคนอาจนึกถึงอาหารไทย อย่าง ต้มยำ แกงเขียวหวาน ซึ่งบ้านเราถนัดอยู่แล้ว แต่จริงๆ อีกสิ่งที่เราเก่งไม่แพ้กันก็คือ “การสร้างแบรนด์” เหมือนเวลาเราไปเที่ยวเกาหลีหรือญี่ปุ่นที่ดึงดูดเพราะคาเฟ่หรือแบรนด์เฉพาะตัว โปรเจกต์นี้จึงอยากยกระดับและแนะนำแบรนด์ไทยให้ทั้งคนไทยและคนทั่วโลกได้เห็นว่า แบรนด์ไทยยุคใหม่ก็มีความน่าสนใจและโมเดิร์นไม่แพ้ชาติไหน
สำหรับเหตุผลที่เลือก 4 แบรนด์นี้ ไม่ได้เริ่มจากการเลือกแบรนด์ แต่เริ่มจากไอเดียว่าจะต้องมีการนำเสนอรสชาติให้ครบทุกมิติ ทั้งของคาว ของหวาน ขนมไทย ของหวานสำหรับกลุ่ม Health Concern และเมนูที่สดชื่นแบบผลไม้
จากนั้นจึงมองหาแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เข้ากับแต่ละหมวดหมู่ จนออกมาเป็นการจับมือกับ 4 แบรนด์ไทยในครั้งนี้ อย่าง Niche Foody จะเป็น Songwat Coffee Roasters
หรือ Mass Brand ที่มีฐานมหาชน เช่น โอ้กะจู๋ กลุ่มออฟฟิศ/ย่าน CBD อย่างแก้วBoutique และ แบรนด์ชาโมเดิร์นอย่าง JIANCHA
“ตลอดที่ผ่านมา แต่ละแบรนด์เคยทำคอลแลบอเรชันมาบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการจับมือกันแบบรายคู่เท่านั้น ยังไม่เคยมีโปรเจกต์ไหนที่รวมพลัง Made in Thailand แบบเต็มรูปแบบ และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการรวมตัวกันถึง 5 แบรนด์ไทย ระหว่างการพูดคุยกับหลายแบรนด์ อย่างคุณเมย์จาก After You หรือคุณเพชรจากแก้วบูทีค ต่างสะท้อนตรงกันว่า พวกเขาอยากเห็นการรวมพลังของแบรนด์ไทยที่เล่าเรื่องความเป็นไทยในมิติใหม่มานานแล้ว ไม่ใช่แค่ยึดติดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการนำเสนอ Modern Thai Way ที่ร่วมสมัยและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น"
ทาร์ตไข่ เปิดตัวแรง ขึ้นแท่น Product of the Year
ส่วนเป้าหมายทางธุรกิจ สาริน กล่าวว่า จากที่เคยทำยอดขายทะลุ 100,000 ชิ้นต่อเดือน ในรอบก่อนหน้า ครั้งนี้คาดการณ์ว่าโปรเจกต์ใหม่จะสามารถผลักดันยอดขายให้แตะ 200,000 ชิ้นต่อเดือน ได้
สาริน เล่าเพิ่มเติมว่า โครงสร้างยอดขายของ YOLK มีลักษณะ “ขั้นบันได” คือเมื่อขึ้นแล้วจะยืนอยู่ที่ระดับใหม่ทันที เมื่อแบรนด์เปิดตัวช่วงปลายปีที่ผ่านมา 2–3 เดือนแรก ต้นปีนี้เทรนด์ทาร์ตไข่เริ่มมาแรง กลายเป็น Product of the Year ซึ่งตรงกับการวางแผนของแบรนด์ที่ตั้งใจเป็น Trend Setter มี Follower ตามมาและสร้างความสนใจสูง
ตั้งเป้าปีนี้ มี 10 สาขา
แม้ปัจจุบันเทรนด์ทาร์ตไข่จะเบาลงบ้าง แต่จากการทำ Data Research ร่วมกับ Grab พบว่ามีผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่กินขนมอบหรือทาร์ตไข่อยู่แล้วเป็นจำนวนมากพอที่จะ Sustain แบรนด์ได้
หากดูภาพรวมแบรนด์ YOLK เปิดตัวครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว หรือประมาณ 8 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบัน YOLK มีทั้งหมด 6 สาขา ซึ่งถือว่าเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าจะสามารถขยายได้ถึง 8–10 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 และวางยอดขายไว้ที่ 200 ล้านบาท และในปี 2569 มีแผนเติบโตอีกหนึ่งเท่าตัว ผ่านการขยายสาขา รวมถึงการขยายไปสู่ช่องทางใหม่ เช่น สินค้าในร้านสะดวกซื้อ การร่วมมือกับสายการบิน เพื่อต่อยอดคอนเซ็ปต์ YOLK คือของฝากจากกรุงเทพฯ ที่ต้องซื้อกลับบ้าน
รวมถึงการพา YOLK ออกนอกกรุงเทพฯ ในรูปแบบ Pop-up Parade ยาว 3 เดือนต่อเมือง ตั้งแต่เหนือจรดใต้ เพื่อตรวจสอบกำลังซื้อระยะยาว พร้อมไอเดียใหม่และการวางขายในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะช่วยขยายการเข้าถึงให้กว้างขึ้น สำหรับตลาดต่างประเทศ แม้เริ่มมีการติดต่อเข้ามา แต่เป้าหมายหลักยังคงอยู่ที่การสร้างฐานที่มั่นในไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ทั้งใน CBD, แหล่งท่องเที่ยว และหัวเมืองหลัก เริ่มทดลองผ่านโปรเจกต์ “YOLK On Tour”
ปี 68 ทำการบ้านหนัก ให้แบรนด์โตแบบยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม สาริน ยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่ต้องทำการบ้านหนัก ผู้บริโภคใช้เงินระมัดระวังมากขึ้น ทำให้การขายสินค้าราคาปกติจำเป็นต้องเพิ่มลูกเล่น ความคุ้มค่า และธีม คอนเซปต์ ให้ผู้บริโภครับรู้สึก Enjoy และสนุก ไปกับสิ่งที่ได้รับประทาน โดยเฉพาะธุรกิจขนมหวาน แต่ความคาดหวังจากโปรเจกต์นี้ไม่ได้โฟกัสแค่ตัวเลขยอดขาย แต่เป็นโปรเจกต์เพื่อแบรนด์ไทย และในฐานะคนไทย ต้องการ สนับสนุนธุรกิจไทยให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็น SME หรือแบรนด์ที่กำลังเริ่มต้น และอยากให้ผู้บริโภคหันมาสนใจแบรนด์ไทยมากขึ้น
“ผมเองอยู่ในธุรกิจไทยมาเห็นทั้งแบรนด์ที่เติบโตจนประสบความสำเร็จ และบางแบรนด์ที่พ่ายต่อการแข่งขันจากแบรนด์ต่างชาติ จึงมองว่าการ ซัพพอร์ตแบรนด์ไทยด้วยกันเอง เป็นเรื่องสำคัญ นี่จึงเป็นหนึ่งใน Passion ของโปรเจกต์นี้ ในเชิงยอดขาย ผลิตภัณฑ์ถือว่าน่าสนใจและ ไปได้แน่นอน แต่โจทย์หลักของรอบนี้คือเรื่อง Branding
เสน่ห์แบรนด์ไทย เป็น Trendsetter
เสน่ห์ของแบรนด์ไทยโมเดิร์น ผมมองว่าเสน่ห์ของแบรนด์ไทยอยู่ที่ ความเป็นไทยผสมความทันสมัย อย่างที่เคยพูดไปแล้วว่า แม้ทั่วโลกจะรู้จักวัฒนธรรมไทย แต่เราต้องการ Introduce และ Elevate แบรนด์ไทย ให้คนมองประเทศไทยไม่ใช่แค่การเที่ยววัดหรือกินอาหารไทย แต่รวมถึง ลิสต์แบรนด์ไทยที่ต้องมาเช็คอิน เหมือนเวลาไปเที่ยวเกาหลีหรือญี่ปุ่น เราไปเพราะแบรนด์ อยากแวะช้อปปิ้งแบรนด์ดัง
ทั้งนี้ สาริน ยกตัวอย่างว่า ความยั่งยืนของแบรนด์ ได้รับการพิสูจน์จากต่างประเทศ เช่น ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ทาร์ตไข่อยู่ได้มากกว่า 5 ปีและยังโตได้ต่อเนื่อง แม้ว่าต้นกำเนิดทาร์ตไข่จะมาจากโปรตุเกสผ่านฮ่องกง-จีน แต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่นี่ต่างออกไป
“ผมชื่อว่า แบรนด์ไทยสามารถนำทาร์ตไข่มาปรับให้เข้ากับรสนิยมและวัฒนธรรมไทย ได้อย่างเท่และสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น YOLK สามารถทำรสใบเตยขนมชั้น หรือซุปทรัฟเฟิลครีมชีส ซึ่งเป็น World First ทั้งหมด และไม่มีที่ไหนเคยทำมาก่อน หลังจากปล่อยมัทฉะโมจิไม่กี่เดือน ทุกสาขาขายหมด จึงสะท้อนว่า การเป็น Key Leader และ Trend Setter มีความสำคัญมาก สำหรับผม การเป็น Trend Setter คือการหยิบผลิตภัณฑ์ที่ดีมาปรับแต่ง เติมมิติใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภค โดยยังคงความง่ายและเข้าถึงได้ ไม่ซับซ้อนเกินไป”
สารินอธิบายต่อว่า แทนที่จะเลือกทำรสชาติที่ Niche จนคนทั่วไปนึกภาพไม่ออก เราเลือกทำรสที่ได้ยินปุ๊บก็จินตนาการรสชาติได้ทันที เช่น ทาร์ตไข่ทรัฟเฟิลครีมชีส ซึ่งช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายเมื่อยืนอยู่หน้าร้าน
คีย์ซักเซส YOLK สู่การเติบโต
เมื่อถูกถามถึงปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ YOLK เติบโตเกินเป้า ทั้งที่ตลาดแข่งขันสูง สารินมองว่ามาจากหลายองค์ประกอบ เช่น
- Standardization และ Quality Control ทุกชิ้นที่ขาย ถูกควบคุมให้ได้มาตรฐานเดียวกันตั้งแต่ครัวกลางจนถึงหน้าร้าน
- ทีมงานมืออาชีพ พนักงานทุกคนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอบขนมเองได้จริง เลือกใช้ทีมที่มีพื้นฐานด้านเบเกอรี่และทักษะเฉพาะ ไม่ใช่เพียงพนักงานขายทั่วไป
สารินย้ำว่า วันนี้ไม่ได้พูดถึง “ไทยแบบดั้งเดิม” แต่กำลังพูดถึง Modern Thai และการทำให้คำว่า “แบรนด์ไทย” กลายเป็น Destination ของลูกค้า ผ่านคอลแลบกับแบรนด์ไทยในมิติใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การออกรสชาติพิเศษ แต่เป็น คอลเลกชันครบวงจร ที่มี Limited Merchandise, การตกแต่งร้าน และกิจกรรมให้ลูกค้ามีส่วนร่วม ซึ่งคือ Learning สำคัญว่าผู้บริโภคยุคนี้ไม่ได้มองหาแค่รสชาติใหม่ แต่ต้องการประสบการณ์ใหม่ทั้งระบบ


