หนุน Net Zero! ตลท. เตรียมขยายแพลตฟอร์ม "SET Carbon" ให้ SME ใช้ฟรี
ตลท. เดินหน้าหนุนธุรกิจสู่ Green Transition เตรียมขยายแพลตฟอร์ม "SET Carbon" ให้บริษัทนอกตลาดฯ และ SMEs ใช้วัดการปล่อยคาร์บอนฟรี
นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้แสดงทรรศนะภายในงาน Asean-China Innovative Economic Forum 2025
กับหัวข้อ "ผลกระทบของตลาดทุนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว"
โดยย้ำว่าตลาดทุนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นกลไกขับเคลื่อนและสนับสนุนภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
นายกิติพงศ์กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังมุ่งหน้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างชัดเจน แรงกดดันนี้ไม่ได้มาจากเพียงเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เท่านั้น
แต่ยังมาจากบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ต้องการให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
"สำหรับเศรษฐกิจไทยซึ่งมีธุรกิจครอบครัวและ SME เป็นส่วนประกอบใหญ่ ผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างๆ ต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนให้ธุรกิจเหล่านี้ก้าวข้ามความท้าทายไปได้"
ชี้ 4 ความท้าทายหลักที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ
นายกิติพงศ์ได้สรุป 4 ความท้าทายสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมรับมือ ได้แก่
- นโยบายและกฎระเบียบ (Policy & Regulation): กฎหมายและมาตรฐานใหม่ๆ กำลังจะถูกบังคับใช้ เช่น (ร่าง) พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM), มาตรฐานการรายงานทางการเงินด้านความยั่งยืน IFRS S1 และ S2 รวมถึง Thailand Taxonomy ซึ่งจะผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน
- การสร้างศักยภาพและการเงินที่ยั่งยืน (Capacity Building & Sustainable Finance): เครื่องมือทางการเงินสีเขียว เช่น ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) และ สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan) จะมีบทบาทมากขึ้น ควบคู่ไปกับ การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ผ่านระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) หรือภาษีคาร์บอน ซึ่งจะสร้างต้นทุนให้แก่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- นวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation & Technology): นวัตกรรมคือหัวใจของการแก้ปัญหา เทคโนโลยีด้านสภาพอากาศ (Climate Tech) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถวัดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างแม่นยำ และระบบพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy System) จะช่วยลดการใช้พลังงานในโรงงานและอาคารได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การลงทุนและการเงิน (Investment & Finance): จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล สถาบันการเงิน และนักลงทุน เพื่อสร้างแรงจูงใจ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และที่สำคัญคือการมี ข้อมูล ESG ที่โปร่งใสและเชื่อถือได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาดและยั่งยืน
บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนภาคธุรกิจ
นายกิติพงศ์เผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ริเริ่มโครงการและพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนและภาคธุรกิจในวงกว้างให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- การเสริมสร้างศักยภาพ: จัดตั้งโครงการ SET ESG Academy เพื่อให้ความรู้แก่บริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงจากประเด็นสภาพภูมิอากาศ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านการคำนวณและแนวทางการเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจกที่ถูกต้อง
- เครื่องมือและแพลตฟอร์ม:
- ESG Data Platform: แพลตฟอร์มรวบรวมข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐาน
- SET Carbon: เครื่องมือช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถวัดปริมาณและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานได้อย่างแม่นยำ
- ขยายการสนับสนุนสู่ห่วงโซ่อุปทาน: มีแผนที่จะขยายการใช้งานแพลตฟอร์ม SET Carbon ไปยังบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนสามารถวัดผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมได้
- การพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอน: ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างกลไกสนับสนุนที่จำเป็นสำหรับระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
นอกจากนี้ นายกิติพงศ์ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงความร่วมมือกับประเทศจีนว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อปรับแก้กฎเกณฑ์ และเริ่มหารือกับนักลงทุนจีนในไทย
เพื่อดึงดูดบริษัทจีน โดยเฉพาะใน กลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ให้เข้ามาจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยมากขึ้น เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุนไทยต่อไป


