posttoday

TALON สลัดภาพโรงงาน OEM สร้างแบรนด์ชิงตลาดรองเท้าสุขภาพ

07 สิงหาคม 2568

เมื่อยอด OEM ร่วงจากร้อยล้านเหลือหลักสิบล้าน "พรศักดิ์ เตชะสมบูรณากิจ" ทายาทเจ้าของโรงงานผลิตรองเท้า เลือกเดิมพันครั้งใหญ่ พลิกเกมสู่เจ้าของแบรนด์ TALON

KEY

POINTS

  • เมื่อยอด OEM ร่วงจากหลักร้อยล้านเหลือหลักสิบล้าน ภายใต้แรงกดดันจากคู่แข่งเพื่อนบ้าน
  • "พรศักดิ์ เตชะสมบูรณากิจ" ทายาทเจ้าของโรงงานผลิตรองเท้า เลือกเดิมพันครั้งใหญ่ 
  • พลิกเกมสร้างแบรนด์ TALON (ทาลอน) รองเท้าสุขภาพที่เริ่มจากความตั้งใจ อยากดูแลเท้าคนไทย 

“การแข่งขันในโลกธุรกิจมีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน การผลิตแบบ OEM กำลังถูกท้าทายจากคู่แข่งต่างประเทศที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งผมต้องบอกว่าการเป็นเจ้าของโรงงานแล้วรับจ้างผลิตให้คนอื่นอย่างเดียวมันไม่ยั่งยืนหรอกครับ” 

 

พรศักดิ์ เตชะสมบูรณากิจ กรรมการบริหาร บริษัท ฟุต คลีนิค จำกัด กล่าวถึงความท้าทายของโลกธุรกิจในปัจจุบัน ในฐานะที่ครอบครัวของเขาเคยเป็นโรงงานผลิตรองเท้าให้กับแบรนด์ต่างประเทศมาแล้วกว่า 54 ปี ก่อนจะเปลี่ยนบทบาทยกเลิกการผลิต OEM เพราะเคยเผชิญปัญหายอดตกต่ำ จากหลักร้อยล้าน สู่หลักสิบล้าน ซึ่งหากคิดในมุมมของนักธุรกิจแล้ว เขาบอกว่าอาการสาหัส
 

 

จากผลิตรองเท้าขายส่งสำเพ็ง สู่ OEM ให้แบรนด์นอก


พรศักดิ์ กล่าวว่า บริษัททำธุรกิจรองเท้ามามากกว่า 54 ปี ตั้งแต่สมัยคุณพ่อวันชัย และคุณแม่รัตนา เตชะสมบูรณากิจ ทำรองเท้าส่งขายในสำเพ็ง หลังจากนั้นก็ได้เปิดโรงงานผลิตส่งออกรองเท้าไปยุโรปและตะวันออกกลางเป็นหลัก ซึ่งจะมีการออกบูททุกปีในชื่อบริษัทว่า บริษัท เปรมสวัสดิ์ (ทาลอน) จำกัด ที่คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ก่อตั้ง

 

คุณพ่อเป็นผู้ตั้งชื่อ "ทาลอน" (Talon) ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "ส้นของรองเท้า" ส่วนในภาษาอเมริกันแปลว่า "กรงเล็บของอินทรี" ซึ่งเกี่ยวข้องกับเท้า 

 

ในอดีต บริษัททำธุรกิจส่งออกรองเท้าในลักษณะ OEM (Original Equipment Manufacturer) โดยเน้นรองเท้าแตะเป็นหลัก เนื่องจากเมืองไทยถนัดเรื่องรองเท้าแตะ ลูกค้า OEM ของบริษัทจะมีแบรนด์ดังในยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี 
 

 

ธุรกิจรองเท้าเล็กลงเรื่อย ๆ เริ่มไม่เห็นอนาคต OEM 

 

พรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา บริษัททำ OEM มาตลอดเลย จนกระทั่งช่วงก่อนโควิด-19 ประมาณ 5-6 ปี บริษัทมีความคิดมานานแล้วว่าต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเอง และไม่อยากทำ OEM อีกต่อไป สาเหตุที่ตัดสินใจเลิกทำ OEM เพราะคู่แข่งจากจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ ที่มีค่าแรงถูกกว่าเริ่มเปิดตลาด และเข้ามาในธุรกิจอุตสาหกรรมเบามากขึ้น 

 

ขณะที่ประเทศไทยมีค่าแรงสูงขึ้น แต่เทคโนโลยีไม่ได้รับการปรับปรุงดีขึ้นเลย ทำให้เสียความได้เปรียบด้าน Economy of scale นอกจากนี้ ช่างฝีมือในอุตสาหกรรมรองเท้าก็เริ่มลดน้อยลง และเปลี่ยนอาชีพไป เนื่องจากยอดสั่งซื้อจากตลาดส่งออกลดลง ทำให้โรงงานและกลุ่มช่างเหล่านี้ค่อยๆ หายไป ธุรกิจรองเท้าจึงเล็กลงเรื่อยๆ

 

และยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น วัตถุดิบที่ทันสมัยไม่เพียงพอ และเรื่องสิทธิพิเศษทางการค้าที่ประเทศอื่น (เช่น ลาว ศรีลังกา บังกลาเทศ) ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) เมื่อส่งออกไปยุโรป แต่ของไทยหมดลงแล้ว ทำให้ต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง

 

“การออกมาทำแบรนด์เอง คุณพ่อเห็นต่างในตอนแรก เนื่องจากการส่งออกของเรามีปริมาณมากอยู่แล้ว ผมจึงตัดสินใจแยกตัวออกมาในช่วงปี 2019 เพราะไม่เห็นอนาคตของธุรกิจ OEM อีกต่อไป ที่พูดแบบนี้ เพราะยอดออเดอร์ OEM ลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี จากที่เคยเป็นร้อยล้านบาทต่อปี เหลือประมาณ 30-40 ล้านบาท ทำให้เห็นแนวโน้มว่าธุรกิจนี้ไม่สามารถเติบโตกลับมาได้เหมือนเดิม ซึ่งผมเชื่อว่า การทำ OEM มันไม่ยั่งยืน เท่ากับสร้างแบรนด์ของตัวเอง โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ประเทศไหนๆ ก็ OEM ได้” 

 

“ซึ่งคุณพ่อก็ฝากเอาไว้ด้วยว่า จะทำอะไรก็ได้นะ แต่อย่า ยอม แพ้ เพราะวันนี้เหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้จะเหนื่อยกว่านี้ แต่ถ้าผ่านไปได้จะดีขึ้นแน่นอน”

 

TALON สลัดภาพโรงงาน OEM สร้างแบรนด์ชิงตลาดรองเท้าสุขภาพ

 

ธุรกิจรองเท้าสุขภาพ (TALON และ Rebecca Lims by TALON)

 

การเริ่มต้นแบรนด์ พรศักดิ์ เล่าว่า ตอนแรกบริษัทคิดว่าจะทำรองเท้าอะไรดีสำหรับแบรนด์ของตัวเอง และเห็นว่ารองเท้าแฟชั่นอาจไม่เหมาะ แต่มองเห็นว่าเทรนด์สุขภาพกำลังมาบังเอิญในช่วงนั้น โรงพยาบาลเทพธารินทร์ได้ติดต่อให้บริษัทผลิตรองเท้าเบาหวานให้ ซึ่งบริษัทไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่พอได้รู้ถึงความต้องการว่า รองเท้าเบาหวานต้องมีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี ปรับขยายตามเท้าที่บวมหรือยุบได้ และแก้ปัญหาไม่ให้เกิดแผลได้ง่าย จึงได้ผลิตให้โรงพยาบาลภายใต้แบรนด์ TALON ก็เลยเล็งเห็นว่าตลาดรองเท้าสุขภาพน่าสนใจ จึงเปิดร้านแรกที่ไอคอนสยาม ในห้างสยามทาคาชิมายะ ซึ่งผู้บริหารชาวญี่ปุ่นต้องการแบรนด์สุขภาพที่แตกต่างและสามารถสั่งตัดได้

 

เขาเล่าต่อว่า สิ่งที่บริษัททำคือการขายรองเท้า และการให้บริการคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพเท้า ด้วยการเปิดแผนกตรวจสุขภาพเท้า Foot Clinic ที่โรงงาน และออฟฟิศ โชว์รูม แถวพระราม 2 และมี Podiatrist ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท้าให้คำปรึกษา

 

เขายังอธิบายว่า แบรนด์ TALON จะเป็นแบรนด์สั่งตัดเฉพาะบุคคล ตัดและออกแบบตามสภาพปัญหาเท้าเฉพาะบุคคล จะมี Podiatrist ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องเท้า ราคาสำหรับการสั่งตัดอยู่ที่ประมาณ 4,990 - 5,990 บาท ส่วนการสั่งตัดใช้เวลาผลิตประมาณ 1 เดือน หรือ 15 วันหากคิวไม่เยอะ มีบริการตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

 

โดยร่วมมือกับโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น บำรุงราษฎร์ ปิยะเวท และพระรามเก้า โรงพยาบาลเหล่านี้ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเข้าไปวัดและตัดรองเท้า รวมถึงแผ่นรองให้ผู้ป่วยได้ ซึ่งชาวอาหรับที่มารักษาในไทย สถานทูตจะจ่ายให้ 100% และราคาที่โรงพยาบาลขายอาจสูงถึง 22,000 บาทต่อคู่

 

และมีแบรนด์ที่นำเข้าจากเกาหลีคือ Rebecca Lim’s ซึ่งนำเข้ามาใช้ชื่อ Rebecca Lim’s by TALON เหตุผลเพราะเคยผลิตรองเท้า OEM ส่งไปเกาหลีให้แบรนด์นี้ และเห็นว่าแบรนด์นี้เบาสบาย วัสดุแตกต่างจากยี่ห้ออื่น จึงขอเป็น Exclusive distributor

 

ซึ่งจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเท้าน้อย เป็นรองเท้าที่ไม่ได้แค่สวมสบาย แต่สามารถปรับสมดุลเท้าได้ด้วย (healthy shoe) ใช้วัสดุนาโนไมโครไฟเบอร์ ซึ่งคล้ายหนังกลับ แต่โดนน้ำได้ ทำความสะอาดง่าย เบามาก และไม่มีซับ ไม่มีเย็บ ไม่มีตะเข็บ จึงไม่เสียดสีกับเท้าและขยายตามลักษณะเท้าได้ ราคาเริ่มต้นที่ 2,990 - 4,490 บาท

 

TALON สลัดภาพโรงงาน OEM สร้างแบรนด์ชิงตลาดรองเท้าสุขภาพ

 

หลังจากเปิดช้อปแรก ยอดขายดี แต่เมื่อเจอโควิดยอดกลับลดลง จึงต้องเปลี่ยนมาทำ ออนไลน์ มากขึ้น โดยเน้นการทำ Educational Marketing โดยสร้างคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพเท้าอย่างสม่ำเสมอใน Facebook และเว็บไซต์ ไม่ได้เน้นการขายสินค้าโดยตรง 

 

ทั้งนี้สัดส่วนรายได้หลัก 70% มาจากรองเท้า ส่วน 30% มาจากบริการ เพราะธุรกิจรองเท้าสุขภาพกับการบริการต้องไปด้วยกัน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าไม่ได้เป็นเพียงผู้ขาย แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท้า

 

เมื่อถามถึงจุดเด่นและความแตกต่างจากคู่แข่ง

 

พรศักดิ์ อธิบายว่า ปรับสมดุลเท้าได้ ไม่ใช่แค่สวมสบาย สามารถ Customized ได้ตามลักษณะเท้าแต่ละบุคคล ดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง มีการนัดติดตามผลกับแพทย์และปรับแก้แผ่นรอง มีทีมช่างฝีมือและผู้เชี่ยวชาญ (Podiatrist) ที่สามารถให้คำปรึกษา และจบกระบวนการได้ในที่เดียว

 

หากมองดูตลาดและคู่แข่ง พรศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดรองเท้าไทยมีมูลค่ารวมราว 98,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มรองเท้าแฟชั่น ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดราว 60-70% ขณะที่กลุ่มรองเท้ากีฬา ลำลอง และสุขภาพ รวมกันอยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านบาท
ในจำนวนนี้ “รองเท้าสุขภาพ” คาดว่ามีมูลค่าตลาดราว 5,000 ล้านบาท หรือประมาณ 10% ของตลาดรองเท้าโดยรวม แม้จะเป็นเซกเมนต์ที่ยังไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับกลุ่มแฟชั่น แต่รองเท้าสุขภาพกลับเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ย 4-10% ต่อปี สะท้อนจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพและการดูแลเท้ามากขึ้นตามกระแสสุขภาพที่มาแรงในปัจจุบัน

 

ในขณะที่คู่แข่งในตลาดรองเท้าสั่งตัดส่วนใหญ่เป็นเมกเกอร์ตามตึกแถว ซึ่งคุณภาพและดีไซน์อาจไม่เทียบเท่า คู่แข่งแบรนด์รองเท้าสุขภาพส่วนใหญ่มองว่าเป็นแบรนด์ต่างประเทศ

 

ตั้งเป้าปีหน้ายอดขาย 60 ล้านบาท 

 

พรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับยอดขายในอดีต (หลังเปลี่ยนจาก OEM) ไม่เกิน 30 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายยอดขายปีหน้าเราตั้งไว้ที่ 60 ล้านบาท 

 

แล้วจะไปถึงได้อย่างไร? 

 

พรศักดิ์ ให้คำตอบว่า จะเน้นกลุ่มลูกค้า B2C สร้าง Brand Awareness ให้คนรู้จักมากขึ้นผ่านการตลาดและเห็นแบรนด์ในห้าง เพื่อให้คนทั่วไปมั่นใจว่าเป็นแบรนด์ที่ดูแลเรื่องเท้าได้จริง รวมถึง B2B ขยายไปตามโรงพยาบาลเป็นหลัก เพื่อสร้าง Brand Image และเป็นผู้เชี่ยวชาญร่วมกับโรงพยาบาล ปัจจุบันร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดีและศิริราชเป็นหลัก และกำลังคุยกับพระรามเก้าและปิยะเวท

 

ต่อไปจะเปิดสาขาใหม่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คาดว่าสิ้นปี 2568 จะมีสาขาเพิ่มขึ้น 2-3 แห่ง รวมทั้งหมด 10 สาขา ซึ่งสัดส่วนรายได้ B2B ยังน้อยมาก (5%) แต่ตั้งเป้าให้ถึง 10-20% เพื่อให้โรงพยาบาลรับรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตัดรองเท้าและแผ่นรองเท้าให้ลูกค้าได้

 

TALON สลัดภาพโรงงาน OEM สร้างแบรนด์ชิงตลาดรองเท้าสุขภาพ

 

อย่างไรก็ตาม เขายังวางแผนขยายต่างประเทศในอีก 3-5 ปี เช่น ฝั่งตะวันออกกลาง ผู้คนมีกำลังซื้อสูงและมีปัญหาโรคเบาหวานมาก และโรงพยาบาลไทยมีกลุ่มลูกค้าจากตะวันออกกลางมาก หรือญี่ปุ่น เป็นตลาดผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งบริการสั่งตัดรองเท้าเป็นที่น่าสนใจ และ CLMV เป็นตลาดน่าสนใจในอนาคตสำหรับการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปหรือสั่งตัด

 

ข่าวล่าสุด

ระบบยืนยันอายุผู้ใช้โซเชียล ป้องกันเยาวชนแอบใช้หลังสั่งห้าม