posttoday

เทียบหมูไทย-หมูสหรัฐ เปิดดีลแลกภาษี กระทบเกษตรกรกว่าแสนราย

17 กรกฎาคม 2568

“หมูไทย vs หมูสหรัฐ" เปิดดีลแลกภาษี กระทบเกษตรกรกว่าแสนราย เทียบการผลิต-ราคา-ต้นทุน ไทยเสียเปรียบชัดเจน ลุ้นทีมไทยแลนด์เตรียมนำเสนอเจรจา

ในขณะที่ไทยยังอยู่ในช่วงรอเจรจาเรื่องอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)กับสหรัฐ ล่าสุดมีรายงานว่าทีมไทยแลนด์ จะนำข้อเสนอของไทยไปพูดคุยกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ในคืนวันที่ 17 ก.ค.นี้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะปิดดีลที่เท่าไหร่ และจะมีการผ่อนคลายเรื่องอะไรบ้าง 

 

แต่หนึ่งในประเด็นที่ร้อนแรงและก่อให้เกิดเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวางมาสักพัก คือการเปิดดีลด้านเกษตร อย่าง “การนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ” ที่อาจดูเหมือนข้อเสนอเล็กๆ แต่ความจริงแล้วกำลังเป็นเงื่อนไขที่อาจสร้าง “แผ่นดินไหว” ให้อุตสาหกรรมเนื้อหมูของไทยทั้งระบบทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ ฯลฯ 

 

ขณะที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้ส่งหนังสือและเตือนรัฐบาลไม่ให้ยอมรับข้อเสนอนี้ เนื่องจากกังวลว่า ข้อตกลงนี้จะนำไปสู่ความเสียหายรุนแรงต่อภาคเกษตรกรรมไทย ทั้งเกษตรกรเลี้ยงหมู เกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์ และราคาเนื้อหมู
 

 

จากประเด็นดังกล่าวอาจเกิดประเด็นคำถามในสังคมว่า ทำไมเนื้อหมูสหรัฐเป็นประเด็นอ่อนไหว หากมีการนำเข้าจะกระทบต่อไทยอย่างไรบ้าง 

 

หมูไทย vs หมูสหรัฐ: ศึกต่างน้ำหนักในสนามการค้า

 

การเปรียบเทียบอุตสาหกรรมหมูของไทยและสหรัฐฯ ชัดเจนว่า “ไม่เท่ากัน” ทั้งในแง่ขนาด ผลผลิต และต้นทุน โดยจากข้อมูลของ KResearch ระบุว่า 

 

  • หมูสหรัฐมีความโดดเด่นในด้านการผลิตระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ส่งออกอันดับ 1 ของโลก คิดเป็น 3.2 ล้านตัน หรือ 31% ของปริมาณการส่งออกหมูทั่วโลก ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าไทย 
  • ด้วยศักยภาพนี้ทำให้หมูสหรัฐมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้ขายได้ในราคาต่ำ โดยในช่วงปี 2563-2567 ราคาขายหมูสหรัฐเฉลี่ยที่ 1.7 ดอลลาร์สรัฐต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาขายหมูไทยเฉลี่ยที่ 2.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม

 

 

เมื่อเทียบฟอร์มความต่างของหมูทั้งสองประเทศได้ ดังนี้

 

สหรัฐอเมริกา

  • ผู้ผลิตมากเป็นอันดับ 3 ของโลก (12.6 ล้านตัน หรือ 11% ของผลผลิตหมูทั่วโลก)
  • ผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก (3.2 ล้านตัน หรือ 31% ของปริมาณการส่งออกหมูทั่วโลก)
  • ฟาร์มขนาดใหญ่ เลี้ยงหมูได้มากกว่า 5,000 ตัวต่อฟาร์ม และส่วนใหญ่เป็น Factory Farm
  • ผลผลิตกว่า 90% มาจากฟาร์มขนาดใหญ่
  • มีผลผลิตอาหารหมูอย่างข้าวโพด และถั่วเหลืองที่ราคาถูก เนื่องจากสหรัฐเป็นแหล่งผลิตหลักราคา 1.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 56.89 บาท
  • ราคาเนื้อหมูถูกจากการมี Economy of Scale หมายถึง สภาวะที่ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของการผลิตลดลงเมื่อปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น


ไทย

  • ผลิตเนื้อหมูได้น้อยกว่าสหรัฐราว 8 เท่า
  • ส่งออกน้อยมาก เนื่องจากมีการบริโภคในประเทศเป็นหลัก
  • ฟาร์มขนาดเล็ก จำนวนหมูน้อยกว่า 500 ตัวต่อฟาร์ม
  • เนื้อหมู 75% มาจากฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่
  • อาหารเลี้ยงหมูต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
  • ราคาเนื้อหมู 1.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 63.39 บาท (ข้อมูลในปี 2567)
  • ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากเนื้อหมูส่วนใหญ่มากจากฟาร์มขนาดเล็ก


ผลกระทบต่อไทย

 

หากไทยมีการนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในราคาถูกจากสหรัฐเข้ามายังไทย จะกระทบต่ออุตสาหกรรมหมูไทยที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นหลัก ซึ่งแต่ละผู้เล่นต่างมีความเชื่อมโยงและจะกระทบต่อเนื่องกันเป็น Domino Effect ดังนี้ 

 

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู จำนวน 1.49 แสนราย ที่เกือบทั้งหมดเป็นรายย่อยกว่า 97% จะได้รับผลกระทบโดยตรงให้ว่างงานและขาดรายได้ ซ้ำเติมเดิมที่ผู้เลี้ยงลดลงไปแล้วกว่า 21% ในช่วงปี 2564-2567 จากภาวะขาดทุนสะสมจนต้องเลิกกิจการไป  
  • เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ อย่างรำสด ข้าวโพด ปลายข้าว (วัตถุดิบหลักในประเทศที่ใช้เลี้ยงหมู) รวมราว 5 ล้านครัวเรือน จะมีผลผลิตเหลือ และกดดันราคาให้ตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรกลุ่มนี้ให้ลดลง
  • โรงชำแหละ อาจถูกตัดวงจรขั้นตอนนี้ไป จนต้องเลิกกิจการในที่สุด
  • เขียงหมู ถูกกดดันรายได้บางส่วนจากเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐที่ทำการแยกชิ้นส่วนสำเร็จพร้อมบริโภคมาบ้างแล้ว
  • มูลค่าตลาดเนื้อหมูไทย คาดสูญเสียเบื้องต้นราว 112,330 ล้านบาท ในกรณีที่ไทยเปิดตลาดให้เนื้อหมูสหรัฐเข้ามาอย่างเสรี 100%

 

ทั้งนี้ การประเมินดังกล่าวยังไม่นับรวมความสูญเสียในกรณีที่ไทยนำเข้าเครื่องในหมูด้วย ผู้บริโภคและร้านอาหาร แม้จะสามารถซื้อเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐได้ในราคาถูก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารได้ แต่ในระยะยาว “สารเร่งเนื้อแดง” ในหมูสหรัฐจะทำให้ผู้บริโภคอาจเกิดอาการข้างเคียงต่อสุขภาพได้หลากหลาย

 

อย่างไรก็ตามนักธุรกิจ นักวิเคราะห์ จากหลาย ๆ สำนัก ต่างแสดงความเห็นว่าในประเด็นเรื่องนี้ค่อนข้างอ่อนไหว ควรเปิดดีลเฉพาะสินค้าจำเป็น

 

อย่างนายสถิตย์ แถลงสัตยา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวทางเจรจาสหรัฐแลกภาษี ไทย หากรัฐเปิดตลาดเกษตรกับสหรัฐ ควรใช้แนวทาง Selective หรือการเปิดตลาดแบบคัดกรองอย่างระมัดระวัง โดยกลุ่มสินค้าใดที่มีอุปสงค์ในประเทศอยู่แล้ว และไทยยังผลิตไม่พอ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด  อาจเปิดให้นำเข้าได้ แต่ในส่วนที่มีความเปราะบาง หรือเสี่ยงกระทบสูง รัฐควรชะลอหรือยื้อตราบเท่าที่จะทำได้ 

 

ขณะที่นายสุรชัย เรืองสุขศิลป์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เคยเปิดเผยกับโพสต์ทูเดย์ว่า การเจรจาซื้อผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ ในส่วนที่ไทยต้องซื้อหรือนำเข้าจากต่างประเทศอยู่แล้ว โดยเฉพาะสินค้าทางภาคเกษตร เช่น ข้าวโพด สำหรับนำมาเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากทุกวันนี้ ประเทศไทยซื้อข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ จากการผลิตในประเทศที่ไม่เพียงพอ โดยซื้อจากประเทศ CLM คือ กัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา และขายเนื้อสัตว์ส่งออก เมื่อซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศ CLM ผลที่ได้ตามมาคือพื้นที่เหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ เนื่องจากเมื่อปลูกแล้วก็ต้องตัดและเผา ซึ่งส่งผลกระทบมายังประเทศไทย จึงมองว่าตรงนี้น่าจะเป็นผลดีให้กับทางรัฐบาลอีกทาง
 

“การเสนอให้ซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นข้อแรกๆ ที่คิดว่าจะสามารถเสนอให้กับทางรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อช่วยอุดหนุนสินค้าของเขา และอุดหนุนเกษตรกรในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงที่สำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์”

 

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา