PASAYA ฝ่าวิกฤตสิ่งทอไทย ลงทุนพลังงานสะอาด-พัฒนาผ้าเพื่อสุขภาพ
ชเล วุทธานันท์ ผู้นำแบรนด์ PASAYA พลิกกลยุทธ์สู้วิกฤตสิ่งทอไทย ลุยลงทุนพลังงานสะอาด-พัฒนานวัตกรรมผ้าเพื่อสุขภาพ เล็งขยายตลาดสู่เมืองหนาว
ท่ามกลางภาวะหดตัวของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยที่กินเวลายาวนานหลายทศวรรษ แบรนด์ไทย “PASAYA” ยังคงยืนหยัดอยู่ในตลาดมาได้ถึง 23 ปี และหากนับรวมช่วงเวลาก่อนตั้งแบรนด์ที่เริ่มจากการเป็นโรงงานรับจ้างผลิต (OEM) จะมีอายุรวมกว่า 40 ปี
คุณชเล วุทธานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิ่งทอซาติน จำกัด เจ้าของแบรนด์ PASAYA กล่าวว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้ คือการตัดสินใจ “เปลี่ยนตัวเอง” ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ที่เริ่มเห็นสัญญาณความไม่ยั่งยืนของการพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียว และการแข่งขันจากประเทศจีนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนั้นเรายังเป็น OEM เต็มตัว แต่พอการแข่งขันสูงขึ้น จีนก็เริ่มแย่งตลาด เราเลยตัดสินใจสร้างแบรนด์ PASAYA ขึ้นมา เพราะเชื่อว่าแบรนด์จะเป็นตัวช่วยให้อยู่รอดได้ในระยะยาว”
คุณชเล ยังชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยหดตัว มาจากความไม่เสถียรทางนโยบายภาครัฐ และการที่รัฐบาลให้น้ำหนักกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากกว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
นวัตกรรมผ้าเพื่อสุขภาพ หนุนศักยภาพสิ่งทอไทย
ทั้งนี้ด้วยพื้นฐานด้านวิศวกรรมสิ่งทอ คุณชเล บอกว่าได้นำความรู้มาใช้พัฒนานวัตกรรมต่อเนื่อง เพราะมองว่าการที่โรงงานสิ่งทอจะอยู่รอดได้ ก็ต้องมีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ โดยโรงงานจำนวนมากต้องพึ่งพาวิศวกรต่างชาติ ขณะที่โรงงานขนาดเล็กในประเทศขาดแคลนวิศวกร เนื่องจากคนไม่เลือกเรียนสิ่งทอเพราะมองว่าไม่มีอนาคต
สำหรับแบรนด์ PASAYA มีการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์สุขภาพ เช่น ผ้าม่านกันความร้อน ผ้าปูที่นอนที่ช่วยให้นอนหลับสบาย และล่าสุดคือ ผ้าที่สามารถฝังตัวยาระดับนาโนเพื่อบรรเทาอาการโรคผิวหนังและโรคนอนไม่หลับ โดยสารยาจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ผิวหนัง และสามารถเติมซ้ำหลังการซักผ้าได้ ซึ่งที่กล่าวมานี้ต้องผ่านการรับรองจาก อย.
โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา คาดว่าจะออกสู่ตลาดได้ในปี 2026 โดยอาศัยความร่วมมือกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์
โรงงานสีเขียว พึ่งพาโซลาร์เซลล์ ลดต้นทุน-ลดคาร์บอน
นอกจากนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ PASAYA ยังลงทุนต่อเนื่องในด้านพลังงานสะอาด โดยติดตั้งโซลาร์เซลล์ทั่วโรงงานตั้งแต่ปลายปี 2021 ปัจจุบันผลิตไฟฟ้าได้ราว 350,000 หน่วยต่อเดือน จากความต้องการใช้รวม 800,000 หน่วย และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 600,000 หน่วยภายในปีนี้ ก่อนจะขยายเป็น 800,000 หน่วยในปีหน้า เพื่อพึ่งพาแหล่งพลังงานสะอาด 100%
ขณะนี้โรงงานมีกำลังการผลิตติดตั้งที่ 3.5 เมกะวัตต์ เตรียมขยายเป็น 6 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ และตั้งเป้าสูงสุดไว้ที่ 10 เมกะวัตต์ ใช้งบประมาณเฉลี่ย 22 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ บนพื้นที่โรงงานกว่า 400 ไร่
“ไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์เซลล์มีต้นทุนประมาณ 1 บาทต่อหน่วย เทียบกับค่าไฟฟ้าปกติที่เฉลี่ย 4.75 บาทต่อหน่วย ช่วยลดต้นทุนได้มาก และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล”
แม้ธุรกิจจะอยู่ในขาลง คุณชเลยังกล่าวอีกว่า ยังคงลงทุนต่อไป จะมีการนำเครื่องจักรใหม่ที่ประหยัดพลังงานมาใช้และเปลี่ยนเครื่องจักรที่ทำความร้อนทั้งหมด การลงทุนหลักของบริษัทในปัจจุบันคือ ด้านพลังงานและนวัตกรรม โดยเฉลี่ยลงทุนประมาณ 20 ล้านบาทต่อปี จากกระแสเงินสดที่ยังสามารถหมุนเวียนได้ โดยเป้าหมายสูงสุดจะพยายามทำให้ได้ 10 เมกกะวัตต์ ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 200 ล้านบาท
คุณชเลเผยว่ากำลังรวบรวมองค์ความรู้จัดทำเป็นเอกสารวิชาการเพื่อเผยแพร่สู่ภาคอุตสาหกรรมไทย
ตั้งเป้า Zero Emission ในปี 2030
ปัจจุบันโรงงานของ PASAYA ได้รับรองฉลากเขียว (Green Label) และฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นต์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และถือเป็นต้นแบบ “โรงงานสีเขียว” ที่ผสานพลังงานสะอาด วัตถุดิบรีไซเคิล และกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมายสู่ การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Zero Emission) ภายในปี 2030
ในด้านวัตถุดิบ ขณะนี้เส้นใยรีไซเคลจากขวดพลาสติกถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ราว 30% โดยเฉพาะผ้าม่านและผ้าหุ้มเบาะที่สามารถใช้เส้นใยรีไซเคิลได้ทั้งหมด แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่สามารถชดเชยได้ด้วยต้นทุนพลังงานที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ผ้าปูที่นอนยังไม่สามารถใช้เส้นใยรีไซเคิลได้ทั้งหมด เนื่องจากต้องการความละเอียดและความแข็งแรงพิเศษที่เส้นใยรีไซเคิลยังทำไม่ได้
ขยายตลาดสู่เมืองหนาว-ย้ำไม่ทำ OEM อีก
ขณะที่ตลาดหลักของ PASAYA ยังคงอยู่ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเขตร้อน คุณชเลเผยว่าบริษัทกำลังพิจารณาขยายสู่ประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น เช่น ยุโรปและจีน โดยเฉพาะยุโรปยังมีตลาดน้อย การเข้าตลาดยุโรปเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะแบรนด์ของเรายังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าแบรนด์ท้องถิ่น
คุณชเลยืนยันว่าจะ ไม่ทำ OEM อีกแล้ว แต่เปิดรับความร่วมมือกับยุโรปในฐานะเจ้าของแบรนด์และผู้ออกแบบ สามารถผลิตได้ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมยุโรป เช่น ISO และ Carbon Footprint ซึ่งก็เป็นแผนในอนาคตที่จะเดินหน้า
ธุรกิจที่ไม่ทิ้งคุณค่าทางสังคม
นอกจากนี้ PASAYA ยังได้แตกไลน์สินค้านอกเหนือจากชุดเครื่องนอน มาเป็นกระเป๋า โดยสินค้าภายใต้แบรนด์ PASAYA มีหลากหลายรายการ ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “ศรีบูรพา 120 ปี” นำคำคมนักคิดนักเขียนชื่อดังของไทยมาออกแบบลงบนกระเป๋ารีไซเคิล เพื่อระดมทุนสนับสนุน “กองทุนศรีบูรพา” ซึ่งมีภารกิจส่งเสริมนักเขียนและวรรณกรรมคุณภาพ
“กระเป๋าหนึ่งใบราคา 1,400 บาท เราบริจาคเข้ากองทุนถึง 680 บาท โครงการนี้ไม่หวังกำไร แต่เป็นโมเดล ESG ที่คนทั่วไปมีส่วนร่วมได้ ทั้งได้ของใช้จริง และได้สนับสนุนคุณค่าทางปัญญา”
คุณชเล กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ธุรกิจไม่ควรมองแค่ระยะสั้น แต่ต้องวางแผนระยะยาว และที่สำคัญคือการบริหารสภาพคล่องทางการเงินอย่างรอบคอบ ซึ่ง PASAYA ก็ต้องบริหารกระแสเงินสดของตนเอง ลงทุนในสิ่งที่ควรทำ พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มันตอบโจทย์การใช้เงินของคน


