พิษภาษีทรัมป์ กระทบ SME ส่งออกวูบ 30% เป้า GDP หดเหลือ 1.7%
สสว. ประเมิน “ภาษีทรัมป์” กระทบ SME ไทย 3,700 ราย ส่งออกวูบ 30% คาดการณ์ GDP SME ปี 68 หดตัวเหลือ 1.7% จากเดิมที่ตั้งไว้ 2.6%
กรณีภาษีทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36 % มีผล 1 ส.ค.2568 นั้น ฝ่ายวิเคราะห์สถานการณ์และเตือนภัยทางเศรษฐกิจ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประเมินว่าไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน จากต้นทุนการจำหน่ายสินค้าไทยในสหรัฐอเมริกาที่จะสูงกว่าประเทศคู่ค้าถึง 16% ซึ่งมากพอที่จะทำให้ผู้นำเข้าเปลี่ยนไปเลือกซื้อสินค้าจากประเทศอื่นแทน
ระยะสั้นไทยจะส่งออกสินค้าได้ลดลง ส่วนใหญ่การนำเข้าดำเนินการผ่านผู้นำเข้าในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ดังนั้นการเลือกสินค้าที่จะนำเข้าไปจำหน่ายเป็นการตัดสินใจโดยผู้นำเข้า จึงเป็นความเสี่ยงของผู้ประกอบการไทยที่จะโดนสินค้าลักษณะเดียวกันที่สามารถผลิตได้โดยประเทศอื่นมาทดแทนได้
สสว. คาดว่าช่วง 5 เดือนหลังตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นไป การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาจะหดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 25-30% คาดว่าปี 2568 การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาจะเติบโตเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 5.04% ด้วยมูลค่ารวม 6,428.79 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่ขยายตัวในช่วง 5 เดือนแรกของปีถึง 29.8%
ผลกระทบทางอ้อมจากภาษีดังกล่าวส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยซึ่งคาดว่าจะลดลงถึง 15% และในระยะยาวจะมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้รับภาษีต่ำกว่า การจ้างงานในประเทศจะลดลงโดยเฉพาะจากภาคการผลิต รายได้ของแรงงานในประเทศลดลง เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น
การทะลักของสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการหาตลาดใหม่ทดแทนการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาจะเข้ามามายังประเทศไทย ส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจไทยในระยะยาวหากยังไม่เตรียมการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง
สสว. คาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลให้ GDP SME ปี 2568 ลดลงจากเดิมที่เคยประมาณการไว้อีก 0.9% ส่งผลให้ประมาณการ GDP SME ปี 2568 ขยายตัวได้ที่ 1.7% จาก 2.6% ที่ประมาณการไว้เมื่อเดือน เม.ย. 2568
ทั้งนี้ สสว. ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ส่งออก SME ในเบื้องต้นพบว่ายังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้า 12 กลุ่มหลัก ซึ่งมี SME ประมาณ 3,700 ราย แต่ผลกระทบจะมีการขยายผลต่อไปยังกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ภายในประเทศดังที่ได้กล่าวมา
ดังนั้นเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว SME ไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยมุ่งเน้นการหาตลาดใหม่และคู่ค้าในภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และพิจารณาการใช้ฐานการผลิตจากประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษี
นอกจากนี้ ประเทศไทยต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุน หรือการสร้างความร่วมมือระหว่างธุรกิจในประเทศกับนักธุรกิจจากต่างประเทศ การพัฒนาจุดแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดผล เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเป็นศูนย์กลาง Wellness and Medical Hub การเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาครองรับการเป็นศูนย์กระจายสินค้า
รวมทั้งการหาแนวทางจัดการสินค้าที่จะทะลักเข้ามาในประเทศให้กระทบสินค้าไทยให้น้อยที่สุด สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นแนวทางที่จะช่วยผู้ประกอบการได้ประโยชน์ในระยะต่อไปจากการดำเนินการดังกล่าว และช่วยให้ผู้ประกอบการไทยหลุดพ้นจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในครั้งนี้ได้
ทั้งนี้ สินค้า SME ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 3,049 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวถึง 29.8 % เป็นตลาดส่งออกอันดับสองของ SME สินค้าส่งออก 5 ลำดับแรกของ SME ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ (เช่น อุปกรณ์เครื่องปรับอากาศเครื่องประมวลผล) อุปกรณ์ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเฟอร์นิเจอร์ซึ่งเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคถึง 60%
ขณะที่ SME มีการนำเข้า 1,044.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 12.2% ของมูลค่านำเข้ารวม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 61.1% เป็นแหล่งนำเข้าสำคัญลำดับที่ 5 ของ SME ซึ่งสินค้านำเข้าสำคัญของ SME ได้แก่ แก๊ส LNG เครื่องจักร เหล็กกล้า อะลูมิเนียม และอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสินค้าขั้นกลางสำหรับใช้ในการผลิต
หากผลการเจรจาประสบความสำเร็จทำให้ไทยได้รับภาษีตอบโต้ในอัตราเดียวกับประเทศคู่แข่งที่มีลักษณะสินค้าใกล้เคียงกับไทยจะไม่ได้สร้างผลกระทบด้านความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกสินค้า และจะช่วยให้การส่งออกครึ่งปีหลังยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง
แต่หากไทยต้องรับภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงกว่า 25% ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม เสียเปรียบประเทศคู่แข่งที่มีสินค้าลักษณะใกล้เคียงกับสินค้าที่ประเทศไทยผลิตได้ เช่น เวียดนามที่ได้รับภาษีตอบโต้ที่อัตรา 20% มาเลเซีย 25% หรืออินโดนีเซีย 32% เป็นต้น


