อินโดนีเซีย เนื้อหอม ขึ้นแท่นดาวเด่นอาเซียนที่นักลงทุนจับตา
ทำไมอินโดนีเซีย ถึงเป็นประเทศดาวเด่นที่นักลงทุนจับตา ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน แต่อินโดฯ ยังเข้มแข็งภายใน พร้อมขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งอาเซียน
ในวันที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวนจากเงินเฟ้อ ภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า ประเทศหนึ่งในอาเซียนกลับโดดเด่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คือ “อินโดนีเซีย” ที่นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากต่างพากันจับจ้องดินแดนแห่งหมู่เกาะนี้ ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ แต่เพราะ "อินโดนีเซียกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองจากแหล่งวัตถุดิบ ให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก"
โพสต์ทูเดย์ มีโอกาสได้ร่วมทริปกับธนาคารกรุงเทพ เยี่ยมชมธนาคารเพอร์มาตา ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 27-30 มิถุนายน 2568 และได้พูดคุยกับ โจโช พาร์เตเต หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจจากธนาคารเพอร์มาตา หนึ่งในธนาคารใหญ่ของอินโดนีเซีย
- จากวิกฤตสู่บทเรียนแห่งความมั่นคง
โจโช กล่าวว่า ในอดีต อินโดนีเซียเคยล้มแล้วลุกหลายครั้งจากวิกฤตเศรษฐกิจระดับชาติ แต่ที่ผ่านมา ก็ทำให้ได้เรียนรู้ และอินโดนีเซียเลือกไม่เดินซ้ำรอยเดิมอีก ด้วยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากรากฐานอย่างต่อเนื่องภายใต้รัฐบาลหลายนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการพึ่งพาตลาดภายในที่แข็งแรง
เขาบอกว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะยังโตได้เฉลี่ย 5% ต่อปีไปอีกอย่างน้อย 3 ปี ส่วนเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่ควบคุมได้ และธนาคารกลางยังมีเครื่องมือเต็มมือหากเศรษฐกิจชะลอลง
ในวันที่โลกกำลังปั่นป่วนจากภาวะสงคราม การค้า และราคาน้ำมัน อินโดนีเซียกลับไม่หวั่นไหว เพราะ 55% ของ GDP มาจากการบริโภคในประเทศ ต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่พึ่งพาการส่งออกสูง
“เรายังมีพลังซื้อในบ้านตัวเอง และมีประชากรวัยแรงงานจำนวนมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปหรือญี่ปุ่น”
- จากแหล่งวัตถุดิบ สู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมโลก
ถ้ามองย้อนกลับไป อินโดนีเซียเคยเป็นประเทศที่ถูกมองว่าเป็น “ผู้ส่งออกวัตถุดิบราคาถูก” แต่วันนี้ อินโดนีเซียกำลังเดินเกมใหม่ จากการระงับการส่งออกวัตถุดิบบางชนิด ไปสู่การสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในประเทศ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาเติมเต็มห่วงโซ่นั้น
ความโดดเด่นด้วยทรัพยากรที่อยู่บน 17,000 เกาะ ทำให้อินโดนีเซียไม่ได้เป็นเพียง “ประเทศเนื้อหอม” แต่กำลังจะกลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หากจะพูดถึงสมบัติล้ำค่าอินโดนีเซียคือหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวย “แร่นิกเกิล” วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
อินโดนีเซียถือครองแร่นิกเกิลสำรองมากที่สุดในโลก ถึง 55 ล้านตัน หรือประมาณ 42% ของปริมาณแร่นิกเกิลทั้งหมดในโลก
แต่สิ่งที่ทำให้อินโดนีเซียไม่ใช่แค่ “ผู้ถือครอง” คือ “วิธีคิดเชิงกลยุทธ์” รัฐบาลได้ตัดสินใจระงับการส่งออกแร่นิกเกิลดิบตั้งแต่ปี 2020 พร้อมประกาศให้โลกเข้าใจว่า "ใครอยากได้แร่จากเรา ต้องมาลงทุนในประเทศเรา"
ผลลัพธ์คือ เม็ดเงินลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกพากันหลั่งไหลเข้ามา ตั้งฐานผลิตในประเทศเพื่อเข้าถึงแร่ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม EV และแบตเตอรี่ ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก และยังเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างชัดเจน
นอกจากนิกเกิลแล้วยังมีทรัพยากรอื่นๆ เช่น ทองแดง อลูมิเนียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน รวมถึงน้ำมันปาล์ม
ขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานก็ขยายตัวต่อเนื่อง ทั้ง รถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา–บันดุง สนามบินใหม่ และแผนเชื่อมต่อสู่ จาการ์ตา–สุราบายา
- พลังคนรุ่นใหม่ที่กำลังเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจ
ทรัพยากรธรรมชาติอาจมีวันหมด แต่ “ทรัพยากรมนุษย์” คือสิ่งที่อินโดนีเซียให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ด้วยประชากรกว่า 280 ล้านคน อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และครึ่งหนึ่งในนั้น คือ "คนในวัยทำงาน"
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ อายุเฉลี่ยของประชากรอินโดนีเซียอยู่ที่เพียง 30 ปี เทียบกับประเทศไทยที่มีอายุเฉลี่ยราว 40 ปี นั่นหมายถึง อินโดนีเซียกำลังเข้าสู่ “ยุคทองของโครงสร้างประชากร” หรือที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Demographic Dividend ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศมีแรงงานมากกว่าผู้สูงอายุ ทำให้มีศักยภาพในการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก
- เศรษฐกิจที่เติบโตด้วยพื้นฐานจากภายใน
หลายคนอาจไม่รู้ว่า อินโดนีเซียเป็น ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยมูลค่ากว่า 47 ล้านล้านบาท (หรือประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และยังเติบโตเฉลี่ย ปีละ 5% อย่างสม่ำเสมอ
แม้จะเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกเหมือนประเทศอื่น แต่ “ความแข็งแกร่งภายใน” ทำให้อินโดนีเซียยืนหยัดได้ เช่น การบริโภคในประเทศที่คิดเป็นกว่า 55% ของ GDP และฐานประชากรขนาดใหญ่ที่กลายเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
หากถามว่า ทำไม “การบริโภคภายในประเทศ” ของอินโดนีเซียจึงแข็งแกร่ง?
ส่วนหนึ่งเพราะอินโดนีเซียมีชนชั้นกลาง (middle class) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น จาการ์ตา, สุราบายา, เมดาน คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมจับจ่ายสูง สนใจสินค้าพรีเมียม, เทคโนโลยี, การท่องเที่ยวภายในประเทศ และแบรนด์ท้องถิ่น
ตัวอย่างแบรนด์ท้องถิ่นที่เติบโตจากการบริโภคภายใน เช่น Kopi Kenangan (กาแฟ) Erigo (แฟชั่น) Indomie (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) Tokopedia / Bukalapak / Shopee Indonesia (อีคอมเมิร์ซ)
หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อที่เป็นแบรนด์ของทุนใหญ่อินโดนีเซียเองอย่าง Indomaret ร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในอินโดฯ กว่า 21,000 สาขา และ Alfamart แข่งขันเบอร์ 2 มีมากกว่า 18,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งภายในร้านค้าก็มักจะมีวางสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นอย่างมากมาย
นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังเร่งปรับตัวด้านนโยบายให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคใหม่ ผ่านการผลักดัน เศรษฐกิจดิจิทัล, เศรษฐกิจสีเขียว, และ การแปรรูปอุตสาหกรรมแบบครบวงจร
- ประเทศที่มี SME มากสุดในอาเซียน
โจโช ยังเล่าให้โพสต์ทูเดย์ฟังว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของ GDP และสร้างการจ้างงานถึง 95% ของทั้งประเทศ
SME คือ “กระดูกสันหลัง” ของอินโดนีเซีย แต่กระดูกนั้นยังต้องเสริมแคลเซียม เพราะหลายรายยังอยู่นอกระบบ ไม่มีเลขภาษี และขาดความรู้ด้านการตลาด รัฐบาลจึงตั้งเป้า “ยกระดับทักษะ” เป็นเป้าหมายใหญ่ทั้งในแง่ของการให้เงินทุน เริ่มต้นจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การจัดเก็บภาษีรายได้ในอัตราเพียง 0.5% หรือประมาณ 5% ของรายได้ เท่านั้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังร่วมมือกับธนาคารกลางเพื่อออกมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ รวมถึงการกำหนดให้องค์กรขนาดใหญ่ช่วยสนับสนุน SME ทั้งในด้านการเข้าถึงแหล่งทุน การตลาด และการขยายตลาดผ่านอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้ SME ท้องถิ่นสามารถเติบโตได้ในระดับประเทศและเชื่อมโยงกับผู้ซื้อรายใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เศรษฐกิจอินโดนีเซียปีนี้: ชะลอตัวเล็กน้อย แต่ยังเดินหน้าได้
สำหรับปีนี้ โจโช กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของอินโดนีเซียคาดว่าจะเติบโตชะลอลงจากปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินโดนีเซียได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น มาตรการคลัง และการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
แม้จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อการส่งออกสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่รัฐบาลก็ใช้ยุทธศาสตร์การส่งออกผ่านสิงคโปร์ที่มีอัตราภาษีต่ำเป็นทางออกเฉพาะหน้า
จุดแข็งสำคัญของเศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคงอยู่ที่การบริโภคภายในประเทศที่คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 55% ของ GDP ขณะที่การลงทุนอยู่ที่ 30% และการใช้จ่ายภาครัฐต่ำกว่า 10% ทำให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียพึ่งพาการส่งออกน้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับประเทศอย่างสิงคโปร์ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกสูงมาก อินโดนีเซียจึงสามารถรักษาเสถียรภาพภายในได้ดีกว่าในยามเศรษฐกิจโลกผันผวน
- ราคาน้ำมัน: ตัวแปรสำคัญในสมการเศรษฐกิจ
สิ่งที่ต้องจับตาคือสถานการณ์ราคาน้ำมัน เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิตั้งแต่ปี 2004 หากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูง จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตรงกันข้ามกับราคาสินค้าเกษตรและ CPO (น้ำมันปาล์มดิบ) ที่หากปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่
- แนวโน้มปีหน้า: ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ย – น้ำมัน – จีน
การลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนดึงเงินออมออกมาใช้จ่าย รวมถึงจูงใจให้เกิดการลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอินโดนีเซีย (สัดส่วน 20–25% ของการส่งออกทั้งหมด) ก็ยังเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
และทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลที่ได้จากบทสนทนาและการสัมภาษณ์ โจโช พาร์เตเต หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจจากธนาคารเพอร์มาตา ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปว่า อินโดนีเซีย จะขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งอาเซียนในเร็ว ๆ นี้ได้หรือไม่


