ปี'67 ธุรกิจไทยฟื้นตัวแรง รายได้รวม 61 ล้านล้าน รายเล็กรายใหญ่กำไรอู้ฟู่
วิเคราะห์งบการเงินปี 2567 ภาพรวมธุรกิจไทยฟื้นตัวแรง รายได้รวมทะลุ 61 ล้านล้านบาท กำไรพุ่ง 18.16% "ร้านอาหาร-ขนส่งโลจิสติกส์-ยานยนต์" รายเล็กรายใหญ่ทำกำไรอู้ฟู่
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลการนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชี 2567 ของนิติบุคคลไทย พบสัญญาณเชิงบวกทั่วทั้งระบบธุรกิจ รายได้รวมทะลุ 61.14 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.96% ส่วนกำไรเติบโตโดดเด่น 18.16% สะท้อนเสถียรภาพและศักยภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังผ่านช่วงความท้าทาย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและภาคบริการที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูงที่สุด
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากงบการเงินรอบปีบัญชี 2567 (ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากนิติบุคคลกลุ่มรอบปีปกติ ซึ่งครบกำหนดวันที่ 4 มิถุนายน 2568) พบว่า รายได้รวมของระบบธุรกิจไทยในปี 2567 อยู่ที่ 61.14 ล้านล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 1.96% เมื่อเทียบกับปี 2566 (59.96 ล้านล้านบาท) ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.79 ล้านล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 18.16% เมื่อเทียบกับปี 2566 (2.36 ล้านล้านบาท) แสดงถึงแนวโน้มฟื้นตัวที่ชัดเจนของระบบเศรษฐกิจภาคเอกชน
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกใน 5 มิติคือ
1.ขนาดธุรกิจ พบว่า ธุรกิจขนาดใหญ่ (L) ทำรายได้สูงสุดถึง 50.18 ล้านล้านบาท คิดเป็น 82.07% ของทั้งระบบ ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก (S) ทำรายได้ 4.75 ล้านล้านบาท คิดเป็น 7.77% ของทั้งระบบ ขณะที่อัตราการเติบโตของรายได้ก็สูงสุดที่ 28.46% เมื่อเทียบกับปี 2566 อีกทั้งกำไรสุทธิของธุรกิจขนาด S ก็เติบโตสูงสุดถึง 127.25% (จากภาวะขาดทุนปี 2566) สะท้อนว่าในปี 2567 ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีศักยภาพในการปรับตัวและสร้างผลกำไรได้ดีกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
2.กลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้และกำไรสูงใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- ประเภทรายได้ กลุ่มขายส่ง/ขายปลีก ทำรายได้สูงสุดอยู่ที่ 26.22 ล้านล้านบาท คิดเป็น 42.89% ของทั้งระบบ กลุ่มการผลิต ทำรายได้อยู่ที่ 23.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 37.81% ของทั้งระบบ และกลุ่มบริการ ทำรายได้อยู่ที่ 11.80 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.30% ของทั้งระบบ
- ประเภทกำไร กลุ่มบริการ ทำกำไรสูงสุดอยู่ที่ 1.31 ล้านล้านบาท คิดเป็น 46.87% ของทั้งระบบ และยังเป็นกลุ่มเดียวที่มีกำไรเติบโตขึ้นถึง 64.25% เมื่อเทียบกับปี 2566 รองลงมาคือ กลุ่มการผลิต ทำกำไรอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท คิดเป็น 38.84% ของทั้งระบบ และกลุ่มขายส่ง/ขายปลีก ทำกำไรอยู่ที่ 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14.29% ของทั้งระบบ
3.ธุรกิจเด่น พบว่า นิติบุคคลที่ทำรายได้และกำไรสูงใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- ประเภทรายได้ กลุ่มขายส่ง/ขายปลีก คือ ธุรกิจขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้สูงสุดอยู่ที่ 5.14 ล้านล้านบาทรองลงมาคือ กลุ่มการผลิต คือ ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ทำรายได้อยู่ที่ 3.76 ล้านล้านบาท และกลุ่มบริการ คือ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้อยู่ที่ 1.18 ล้านล้านบาท
- ประเภทกำไร กลุ่มบริการ คือ ธุรกิจโฮลดิ้ง ทำกำไรสูงสุดอยู่ที่ 0.32 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มการผลิต คือ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ ทำกำไรอยู่ที่ 0.10 ล้านล้านบาท และกลุ่มขายส่ง/ขายปลีก คือ ธุรกิจขายจักรยานยนต์ ทำกำไรอยู่ที่ 0.04 ล้านล้านบาท
4.พื้นที่ตั้งธุรกิจ พบว่า กรุงเทพมหานครยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ทำรายได้ 37.63 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.55% ของรายได้นิติบุคคลทั้งประเทศ โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้ 5.03% เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่ทำกำไรได้ 1.87 ล้านล้านบาท คิดเป็น 66.90% ของกำไรนิติบุคคลทั้งประเทศ (2.79 ล้านล้านบาท) ส่วนพื้นที่ภาคใต้เป็นภาคเดียวที่มีความโดดเด่นด้านการเติบโตของรายได้เพิ่มสูงขึ้น 3.35% เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีอัตราการเพิ่มขึ้นของกำไรมากที่สุดถึง 56.80% เมื่อเทียบกับปี 2566
5.เปรียบเทียบรายธุรกิจ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
ร้านอาหาร ทำรายได้รวมกว่า 3.27 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 3.69% เมื่อเทียบกับปี 2566 และมีกำไรพุ่งแรงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 58.63% เมื่อเทียบกับปี 2566
นิติบุคคลที่มีรายได้โดดเด่นคือ
- บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MK) รายได้ 13,778 ล้านบาท
- บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด ร้านในเครืออาทิ Mister Donut, Yoshinoya, ชาบูตง รายได้ 11,919 ล้านบาท
- บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (KFC) รายได้ 10,709 ล้านบาท
- บริษัท แมคไทย จำกัด (McDonald’s) รายได้ 7,961 ล้านบาท
- บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (สุกี้ตี๋น้อย) รายได้ 7,075 ล้านบาท
และนิติบุคคลที่มีกำไรสูงสุด คือ
- บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กำไร 4,573 ล้านบาท
- บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กำไร 1,772 ล้านบาท
- บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (สุกี้ตี๋น้อย) กำไร 1,169 ล้านบาท
- บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กำไร 1,090 ล้านบาท
- บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กำไร 559 ล้านบาท
ขนส่งและ โลจิสติกส์ ทำรายได้รวม 5.19 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่ทำกำไร ถึง 1.79 หมื่นล้านบาท พุ่งกว่าเท่าตัวเติบโต 105.19% เมื่อเทียบกับปี 2566
ทั้งนี้ ธุรกิจ e-Commerce เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจนี้เติบโตและเป็นพันธมิตรสำคัญกับแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์
นิติบุคคลที่มีรายได้โดดเด่น คือ
- บริษัท โกลบอล เจท เอ็กซ์เพรส (ไทยแลนด์) จำกัด (J&T Express) รายได้ 25,487 ล้านบาท
- บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด (Flash Express) รายได้ 24,729 ล้านบาท
- บริษัท ไทย แฮปปี้ โลจิสติกส์ จำกัด (บริษัทตัวแทนขนส่งของ Tiktok Shop ในไทย) รายได้ 19,436 ล้านบาท
- บริษัท ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส จำกัด รายได้ 14,329 ล้านบาท
- บริษัท ออลล์ นาว โลจิสติกส์ จำกัด (บริษัทในกลุ่ม CP บริหารจัดการโลจิสติกส์แบบครบวงจร) รายได้ 11,698 ล้านบาท
และนิติบุคคลที่มีกำไรสูงสุดคือ
- บริษัท ลาซาด้า เอ็กซ์เพรส จำกัด (Lazada Express) กำไร 1,742 ล้านบาท)
- บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด (Flash express) กำไร 941 ล้านบาท
- บริษัท โกลบอล เจท เอ็กซ์เพรส (ไทยแลนด์) จำกัด (J&T Express) กำไร 820 ล้านบาท
- บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) กำไร 565 ล้านบาท
- บริษัท ดีเอชแอล โกลเบิล ฟอร์เวิร์ดดิ้ง (ประเทศไทย) (DHL) กำไร 512 ล้านบาท
จำหน่ายยานยนต์ใหม่ ทำรายได้รวม 1.29 ล้านล้านบาท กำไร 8,239 ล้านล้านบาท แม้ธุรกิจในกลุ่มนี้จะมีรายได้และกำไรจะลดลงจากปีก่อน แต่ยังมีผู้เล่นรายใหญ่ที่สามารถทำกำไรได้สูงอยู่
นิติบุคคลที่มีรายได้โดดเด่นคือ
- บริษัท อีซูซุมอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (อีซูซุ) รายได้ 137,155 ล้านบาท)
- บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด (BMW) รายได้ 44,102 ล้านบาท
- บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (เมอร์เซเดส-เบนซ์) รายได้ 31,410 ล้านบาท
- บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด (ฟอร์ด) รายได้ 28,759 ล้านบาท
- บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (BYD) รายได้ 24,834 ล้านบาท
และนิติบุคคลที่มีกำไรสูงสุด คือ
- บริษัท อีซูซุมอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (อีซูซุ) กำไร 3,065 ล้านบาท
- บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด (ฟอร์ด) กำไร 2,395 ล้านบาท
- บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (Tata) กำไร 2,115 ล้านบาท
- บริษัท เอเอเอส ออโต้ อิมพอร์ต จำกัด (นำเข้ารถปอร์เช่) กำไร 553 ล้านบาท
- บริษัท วรจักร์ยนต์ จำกัด (Toyota) กำไร 548 ล้านบาท
นางอรมน กล่าวว่า จากข้อสังเกตสำคัญที่วิเคราะห์ได้จากตัวเลขของงบการเงินปี 2567 คือตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงภาพรวมธุรกิจไทยที่มีความมั่นคงและพร้อมต่อการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและภาคบริการที่สามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรในอัตราสูง สะท้อนถึงความหลากหลายของโอกาสทางเศรษฐกิจในทุกระดับได้ดีอีกด้วย


