“อร่อยแบบไม่รู้สึกผิด” เจาะเบื้องหลัง พรีเมียม ป๊อบคอร์นสายเฮลท์ตี้ของไทย
เจาะลึกที่มา ป๊อบคอร์นสายสุขภาพ - Healthy Snack มาแรงของไทย Pennii Premium Popcorn กับเรื่องราวแสนสนุก รายละเอียดระดับตำนาน และการสร้างแบรนด์ของ SME ไทยที่กำลังไปไกลในต่างแดน
คุณหญิง–พรพิมล ปักเข็ม นักบริหารหญิงผู้ก่อตั้ง Pennii Premium Popcorn (เพนนี พรีเมียม ป๊อบคอร์น) แบรนด์ขนมที่ถูกออกแบบมาพร้อมกับแนวคิด “อร่อย ดีต่อสุขภาพ และทานได้แบบไม่รู้สึกผิด” ผู้มาพร้อมกับอีกหลายบทบาทสำคัญ ทั้งผู้ก่อตั้ง Match House Learning Center และ TalentD ที่เน้นพัฒนาศักยภาพมนุษย์ในทุกมิติ
เธอไม่เพียงสร้างแบรนด์ขนมระดับพรีเมียม แต่ยังสร้าง “ความเชื่อใหม่” ว่า ขนมกินเล่นอย่างป๊อบคอร์น ก็สามารถมาแนวสุขภาพได้แบบ “กินเพลินไม่เกินแคล” ใครจะกล้าคิดว่า กินป๊อบคอร์นที่อุดมไปด้วยความหวานมันเค็ม จะต้องมารับรู้ข้อมูลระดับพรีเมียม รายละเอียดไม่ธรรมดา เหมือนไม่ใช่ขนมกินเล่น
เพราะเมื่อพูดถึงวัตถุดิบของ Pennii Premium Popcorn ก็จะมีทั้ง เมล็ดข้าวโพดปลอดสารจากสหรัฐอเมริกา เนยแท้จากฝรั่งเศส ช็อกโกแลตแท้จากเบลเยียม วานิลลาฝักหอมจากมาดากัสการ์ และน้ำมันเมล็ดชาจากโครงการหลวงภัทรพัฒน์...
ทั้งหมดนี้เมื่อหลอมรวมกันทำให้ Pennii กล้าบอกตัวเองว่า นี่คือตัวแม่ของวงการขนมระดับไฮเอนด์ เปรียบเสมือนแบรนด์โอตกูตูร์แห่งวงการขนม เพราะเต็มไปด้วยรายละเอียดที่คัดสรร ส่วนเรื่องราคาบอกได้เลยว่า ไม่อยู่ในกระแสและไม่ติดสำหรับคนที่ใส่ใจสุขภาพแต่ยังอยากทานขนมแบบไม่รู้สึกผิด ที่สำคัญแบรนด์วางตัวชัดเจนว่าเป็นสินค้าระดับพรีเมียม ราคาจึงเหมาะสมกับวัตถุดิบที่คู่ควร
ทานขนมได้อย่างไม่รู้สึกผิด
จุดกำเนิดของ Pennii Premium Popcorn ที่เกิดจากครอบครัวและความใส่ใจลูกทั้งสองคนคือ “น้องเพนนิน–สุทธิภัทร และน้องเพนนี–ศุภิสรา” ซึ่งกลายมาเป็นแรงบันดาลใจและชื่อของแบรนด์
จากความกลัวเรื่องผงชูรส น้ำมันทรานส์ และมาร์การีนในขนมทั่วไป จึงตัดสินใจทำขนมให้ลูกทานเอง และต่อมายังถึงขั้นไปเรียนหลักสูตรการทำขนมอย่างจริงจัง
คุณหญิงเล่าถึงจุดเปลี่ยนจาก “ของกินเล่นๆ” ทำให้ลูกทานที่บ้านไปสู่ธุรกิจจริงจังว่า
“พอรู้ว่าสูตรที่เราทำ ลูกกินแล้วอร่อย คนอื่นกินแล้วก็ถามซ้ำอยู่เรื่อยๆ ทำให้เรารู้ทันทีว่า นี่แหละคือโอกาส”
จากวันนั้นถึงวันนี้ก้าวสู่ปีที่ 8 แบรนด์เติบโตจนสร้างรายได้ถึงปีละ 10 ล้านเบาๆ และยังส่งออกไปถึงตลาดต่างแดนอย่างเซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง ดูไบและสิงคโปร์ ส่วนในไทยก็เน้นตลาดพรีเมียม ที่ขายเฉพาะในห้างสรรพสินค้าอย่าง พารากอน เอ็มควอเทียร์ และไอคอนสยามเป็นป๊อปอัพสโตร์
“เรามักมองว่าขนมคือของที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ที่จริงแล้ว ขนมไม่ได้ผิดเลย สิ่งที่ผิดคือวัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่ไม่ใส่ใจสุขภาพคนกินต่างหาก”
จุดขาย สายแข็ง Healthy Snack แบบ Pennii
เมื่อธุรกิจเติบโตจากการบอกต่อและเริ่มมองเห็นโอกาสในการส่งออก คุณหญิงจึงได้พัฒนาแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ให้เป็นสากลมากขึ้น พร้อมทั้งมองหาเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เช่น การอบแบบ Air Pop (อบลมร้อนไม่ใช้น้ำมัน) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นโรงงานป๊อปคอร์นแห่งเดียวในไทยที่ได้มาตรฐาน GMP และ Halal ด้วยการอบแบบนี้
ในช่วงโควิด-19 แม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่ร้านค้าในห้างปิด แต่ก็มีการปรับตัวโดยหันมาเน้นช่องทางการขายผ่าน Modern Trade และ ออนไลน์ มากขึ้น รวมถึงพัฒนา รสชาติต้มยำกุ้ง เพื่อเพิ่มความเป็นไทยและขยายตลาดสู่ต่างประเทศ
คุณหญิงกล่าวถึงธุรกิจ SME ของไทยว่า มีทั้งขุมทรัพย์และของดีมากมาย แต่น่าเสียดายที่เรายังขาดจุดแข็งในเรื่องการสร้างแบรนด์
แค่คิดก็สนุก หากบอกว่านี่คือการสร้างสรรค์แบรนด์ที่ไม่ยอมหยุดนิ่งแค่การทำป๊อบคอร์นรสคาราเมลแต่ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดขั้นเทพ ไปดูกัน..
แบรนด์ป๊อบคอร์นที่ลดคาร์บอนจากการอบแบบ Air Pop
- กรรมวิธีการผลิตที่แตกต่าง เป็นโรงงานเดียวในไทยที่ใช้ เทคโนโลยี Air Pop ในการอบ (อบลมร้อนไม่ใช้น้ำมัน) ซึ่งช่วยลดแคลอรี่ ทำให้ป๊อปคอร์นเบาและกรอบ และได้มาตรฐาน GMP, Halal
- เน้นสุขภาพ เป็นจุดขายสำคัญสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ด้วยการใช้ Air Pop และวัตถุดิบที่ดี ทำให้สามารถทานขนมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำมันหรือแคลอรี่มากเกินไป (กินเพลินไม่เกินแคล)
- รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีรสชาติหวานน้อย (โลวซูก้า) และรสชาติไทยๆ อย่างต้มยำกุ้งที่มีส่วนผสมของกุ้งจริงๆ (กุ้งแก้วจากภูเก็ต)
- การรับรองมาตรฐาน ได้รับมาตรฐาน GMP และ Halal
- ตำแหน่งทางการตลาด วางตัวเองเป็นแบรนด์ พรีเมียม ที่เน้นกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจคุณภาพและสุขภาพ
เมื่อถามถึงพฤติกรรมผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมายคุณหญิงเล่าว่า ลูกค้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มชัดเจน คือกลุ่มที่ชอบรสหวานจัด และกลุ่มที่เน้นสุขภาพ/หวานน้อย ซึ่งกลุ่มหลังมักไม่ให้ความสำคัญกับราคา แต่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความใส่ใจในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์
มากกว่านั้นยังมีการพัฒนาสูตรร่วมกับนักวิชาการ เช่น คณะเภสัชศาสตร์ เพื่อต่อยอดให้กลายเป็น Healthy Popcorn มีรสชาติที่แปลกใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ทุเรียน ต้มยำ คาราเมลไข่เค็ม ช็อกโกแลต ซึ่งมาจากแนวคิด “ชูรสชาติไทยให้เป็นจุดขายระดับโลก”
ส่วนความตั้งใจในอนาคตคือการเป็นแบรนด์ "ไฮเอนด์ ป๊อปคอร์นสายสุขภาพ" และจะยังยึดหลักการความพรีเมียมต่อไป ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่รวมถึงกระบวนการคิด การเลือกวัตถุดิบ การเล่าเรื่อง และกลยุทธ์การตลาด
“ถ้าเรายอมลดต้นทุนด้วยของไม่ดี เราก็ลดคุณค่าในสิ่งที่เราทำ” คุณหญิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ว่าแต่ทำไมต้องเป็นป๊อปคอร์น
เพราะป๊อปคอร์นเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมสูง และมีศักยภาพในการส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ออนไลน์และออฟไลน์) โดยเฉพาะเมื่อมีลูกค้าสั่งในปริมาณมาก (เช่น 50-100 ถุง) ทำให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ
การแข่งขันในตลาดป๊อปคอร์นเป็นอย่างไร
มีการแข่งขันสูงมาก ป๊อปคอร์นทั่วไปหาง่ายและราคาถูกกว่ามาก แต่แบรนด์นี้เน้นตลาดพรีเมียม ซึ่งผู้บริโภคสามารถสัมผัสความแตกต่างของคุณภาพวัตถุดิบ ความหวาน และความละมุนได้
แต่ที่สำคัญก็คือของเรามีความแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติ แต่คือ “แนวคิด” ที่อยู่เบื้องหลังการผลิตที่มีจุดขายด้านสุขภาพ ซึ่งแบรนด์อื่นแทบไม่มี ที่สำคัญคือความยึดมั่นในความปลอดภัยของผู้บริโภคเหมือนดูแลคนในครอบครัว
สุดท้ายทำไมต้องเป็น “เพนกวิน” สำหรับป๊อปคอร์น?
สัญลักษณ์ของ Pennii Premium Popcorn คือ นกเพนกวินเพนนิน (Pennin the Penguin) ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ตัวการ์ตูนน่ารักธรรมดา แต่เป็นตัวแทนของแบรนด์ที่สื่อถึง “ความใส่ใจ รายละเอียด และคุณภาพระดับพรีเมียม” ในแบบที่ไม่ต้องรู้สึกผิดเวลาทานของอร่อย
มากกว่านั้น นกเพนกวิน คือสัญลักษณ์ของความสะอาดบริสุทธิ์และความมุ่งมั่น เพราะนกเพนกวินอาศัยในธรรมชาติที่บริสุทธิ์ที่สุดของโลก (แอนตาร์กติกา) จึงสื่อถึงวัตถุดิบที่สะอาดและปลอดภัย เพนกวินยังมีความขยัน อดทน และรักครอบครัว คุณสมบัติเดียวกับแบรนด์ที่ใส่ใจคุณภาพในทุกขั้นตอน...
โปรโมชั่น Pennii Premium Popcorn กับบัตรเครดิต KTC
รับส่วนลดทันที 10% เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 300 บาท ขึ้นไป/เซลล์สลิป
*ไม่รวมสินค้าโปรโมชัน สินค้าประจำฤดูกาล และ/หรือ โปรโมชันอื่น ๆ ของทางร้าน
หรือ
แลกคะแนนรับส่วนลด 23% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรฯ/เซลส์สลิป
หรือ
599 คะแนน KTC FOREVER แลกรับ Pennii Popcorn ขนาด M 1 ถุง มูลค่า 90 บาท
*แลกผ่านเครื่อง EDC
15 พ.ค. 68 - 30 เม.ย. 69


