ไขรหัส Carbon Footprint คืออะไร ธุรกิจเล็ก ๆ “ไม่รู้ไม่ได้แล้ว”
“ไม่รู้ไม่ได้แล้ว” Carbon Footprint ร่องรอยการปล่อยคาร์บอนจากการทำธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เรื่องโลกสวย แต่กติกาค้าขายโลกกำลังเข้มข้น
เมื่อโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป “Carbon Footprint” หรือ ร่องรอยการปล่อยคาร์บอน กลายเป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ
หลายคนอาจยังสงสัยว่า Carbon Footprint คืออะไร แล้วธุรกิจขนาดเล็กจะต้องสนใจไปทำไม?
คำตอบคือ นี่ไม่ใช่แค่กระแสรักษ์โลกสวย ๆ อีกต่อไป แต่มันคืออนาคต และอาจหมายถึงความอยู่รอดของธุรกิจในโลกยุคใหม่
ผศ.ดร.ปิยานนท์ หาพุทธา อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ได้ไขคำตอบ ในโครงการ Krungsri ESG Academy
แล้วทำไม SME ต้องแคร์?
ผศ.ดร.ปิยานนท์ บอกว่า เพราะนักลงทุนและแบงก์ต่างมองหาธุรกิจสีเขียวที่ไม่ได้ดูแค่ “กำไร” แต่มองหาธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล ซึ่ง Carbon Footprint คือตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญมาก ถ้า SME มีข้อมูลตรงนี้ชัดเจนก็มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ขณะที่บริษัทใหญ่ๆ ที่เป็นคู่ค้าหรือลูกค้าของเรา จะถูกกดดันให้ลด Carbon Footprint ซึ่งหมายความว่า เขาจะสนใจและหันมาขอข้อมูล Carbon Footprint จากเราในฐานะที่เราเป็นซัพพลายเออร์ให้ ซึ่งถ้าเราไม่มีอาจจะเสียโอกาสทางธุรกิจไปเลย
ไม่เพียงเท่านี้ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีกฎหมายรวมถึงมาตรการใหม่ ๆ ที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น กฎหมาย CBAM ของยุโรป หรือกฎหมายโลกร้อนของไทยที่กำลังจะมา หากเราไม่เตรียมตัวก็อาจจะปรับตัวไม่ทัน ที่สำคัญการที่เราเข้าใจ Carbon Footprint ของตัวเอง จะทำให้เรารู้ว่าตรงไหนที่มีการใช้พลังงานหรือทรัพยากรสิ้นเปลือง เมื่อปรับปรุงแก้ไขก็สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและลดค่าใช้จ่ายไปในตัว
แถมผู้บริโภคยุคใหม่เขาเริ่มใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การที่ธุรกิจเรามีความรับผิดชอบด้านนี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แบรนด์ ดึงดูดลูกค้า และทำให้เราโดดเด่นกว่าคู่แข่งเพื่อให้การจัดการ Carbon Footprint เป็นระบบ เลยมีการแบ่งกิจกรรมการปล่อยก๊าซออกเป็น 3 Scope ทั้ง
- Scope 1: การปล่อยคาร์บอนโดยตรงจากธุรกิจเราเอง เช่น ควันจากเตาอบ ไอเสียจากรถส่งขนมปัง หรือสารทำความเย็นจากแอร์ในโรงงาน พูดง่าย ๆ คือ คาร์บอนที่ปล่อยออกมาโดยตรงจากกิจกรรมที่เราควบคุมได้นั่นเอง
- Scope 2: การปล่อยคาร์บอนจากพลังงานที่เราซื้อมาใช้ เห็นชัดอย่างไฟฟ้าที่เราจ่ายค่าไฟกันทุกเดือน จะกลายเป็นคาร์บอนที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้า เพื่อผลิตไฟส่งมาให้เรา แม้เราไม่ได้ปล่อยเองโดยตรงแต่เราเป็นคนใช้ไฟ ถือว่ามีส่วนในการปล่อยคาร์บอนเช่นกัน ซึ่งข้อมูลหลัก ๆ ก็มาจากบิลค่าไฟฟ้านั่นเอง
- Scope 3: การปล่อยคาร์บอนจากทุกสิ่งในห่วงโซ่ธุรกิจเรา ถือเป็นจุดที่ซับซ้อนที่สุดแต่สำคัญมากที่สุด ซึ่งเป็นการปล่อยก๊าซทางอ้อมทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่ (Value Chain) เริ่มตั้งแต่การหาวัตถุดิบจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากสินค้าออกจากมือเราไปแล้ว ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้
แม้ในปัจจุบัน ประเทศไทยให้ความสำคัญกับ Scope 1 และ Scope 2 เป็นหลัก แต่ธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับ Scope 3 มากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างแน่นอนกับธุรกิจ SME ที่มีฐานะเป็นซัพพลายเออร์ให้ธุรกิจขนาดใหญ่ โดย Scope 3 แบ่งออกเป็น 15 หมวดย่อย ประกอบไปด้วย
1. สินค้าและบริการที่เราซื้อมา (Purchased Goods and Services): ทุกอย่างที่เราซื้อเข้ามาเพื่อทำธุรกิจ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงบริการที่เราจ้างภายนอกเป็นคาร์บอนที่ติดมากับของก่อนจะมาถึงมือเรานั่นเอง
2. สินค้าประเภททุน (Capital Goods): ร่องรอยคาร์บอนจากการผลิตสินทรัพย์ที่เราซื้อมาใช้ในธุรกิจ เช่น เครื่องจักรใหม่, คอมพิวเตอร์, หรือแม้แต่อาคารโรงงาน ที่เราต้องคิดย้อนไปถึงกระบวนการผลิตของเหล่านั้นว่าปล่อยคาร์บอนมาเท่าไหร่ก่อนจะมาเป็นของเรา
3. กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงและพลังงาน (Fuel- and Energy-Related Activities) ซึ่งพลังงานในส่วนนี้ไม่รวมที่อยู่ใน Scope 1 หรือ Scope 2 แต่ต้องมองลึกไปอีกขั้น โดยจะนับรวมคาร์บอนจากการใช้เชื้อเพลิงเหล่านั้นก่อนจะมาถึงมือเรา เช่น การขุดเจาะน้ำมัน รวมถึงการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่งก่อนจะมาถึงมิเตอร์ของเราด้วย
4. การขนส่งและกระจายสินค้าต้นน้ำ (Upstream Transportation and Distribution): เป็นการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งวัตถุดิบหรือสินค้าที่เราสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์มายังโรงงานหรือร้านค้าของเรา โดยรถขนส่งนั้นไม่ใช่ของเราเอง อาจจะต้องดูจากน้ำหนักของ, ระยะทางและประเภทรถที่ใช้ขนส่งด้วย
5. ของเสียจากการดำเนินงาน (Waste Generated in Operations): หมายถึงขยะทุกประเภทที่เกิดจากธุรกิจของเราที่ถูกส่งไปกำจัดภายนอกธุรกิจ เช่น ขยะที่ส่งไปฝังกลบ ขยะที่ส่งไปเผา หรือน้ำเสียที่ส่งไปบำบัดนอกโรงงาน
6. การเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Travel): การเดินทางของพนักงานเราโดยใช้ยานพาหนะที่ไม่ใช่ของบริษัท เช่น เครื่องบิน, แท็กซี่ ร่องรอยคาร์บอนเหล่านั้นจะถูกเก็บในหมวดนี้
7. การเดินทางของพนักงาน (Employee Commuting): นอกจากนี้การเดินทางของพนักงานเราจากบ้านมาที่ทำงานและจากที่ทำงานกลับบ้านในแต่ละวัน ไม่ว่าจะด้วยรถยนต์ส่วนตัว, มอเตอร์ไซค์, รถสาธารณะ รวมไปถึงการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ก็ต้องคิดการใช้ไฟฟ้าของพนักงานในช่วงเวลาทำงานด้วย
8. สินทรัพย์ที่เราเช่ามาใช้งาน (Upstream Leased Assets): หาก SME ไม่ได้ซื้อสินทรัพย์มาเป็นของตัวเองแต่ใช้วิธีการเช่า เช่น เช่าพื้นที่ออฟฟิศ, เช่าเครื่องจักรหรือเช่าโกดัง แล้วมีการปล่อยคาร์บอนจากการใช้สินทรัพย์นั้นจะต้องนำมาพิจารณาในหมวดนี้
9. การขนส่งและกระจายสินค้าปลายน้ำ (Downstream Transportation and Distribution): เมื่อสินค้าของเราผลิตเสร็จแล้ว การขนส่งสินค้าเหล่านั้นไปถึงมือลูกค้าหรือผู้จัดจำหน่าย โดยที่รถขนส่งนั้นก็ไม่ใช่ของเราและเราไม่ได้เป็นคนจ่ายค่าขนส่ง รวมถึงการขนส่งสินค้าของเราไปจัดการเป็นขยะหลังการใช้งานจะถูกนับในหมวดนี้
10. การนำสินค้าที่เราขายไปแปรรูปต่อ (Processing of Sold Products): กรณีที่ SME ผลิตสินค้าเพื่อเป็นวัตถุดิบให้กับอีกธุรกิจเพื่อนำไปแปรรูปหรือผลิตต่อ ก่อนจะกลายเป็นสินค้าสำเร็จรูปสู่ผู้บริโภค เช่น เม็ดพลาสติกที่ถูกนำไปฉีดขึ้นรูปเป็นของเล่น คาร์บอนจากการฉีดขึ้นรูปจะถูกนับในส่วนนี้
11. การใช้งานสินค้าที่เราขายไป (Use of Sold Products): หลังลูกค้าใช้สินค้าของเรา โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องใช้พลังงาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, รถยนต์ หรือสินค้าที่ปล่อยก๊าซโดยตรงตอนใช้งาน เช่น สเปรย์ หรือตู้เย็น คาร์บอนที่เกิดจากการใช้งานจะถูกนับในส่วนนี้
12. การจัดการซากผลิตภัณฑ์ที่เราขายเมื่อหมดอายุ (End-of-Life Treatment of Sold Products): เมื่อสินค้าของเราถูกใช้งานจะหมดอายุหรือใช้ต่อไม่ได้ แล้วลูกค้านำไปทิ้งหรือกำจัด คาร์บอนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการจัดการของเสียหรือขยะเหล่านั้นจะต้องนำมาคิดด้วย
13. สินทรัพย์ที่เราเป็นเจ้าของแล้วให้คนอื่นเช่า (Downstream Leased Assets): ก่อนหน้านี้เราพูดถึงการที่ธุรกิจไปเช่า แต่ถ้าเราเป็นเจ้าของสินทรัพย์ เช่น ตึก, เครื่องจักร แล้วเราให้คนอื่นเช่าคาร์บอนที่เกิดจากการที่ผู้เช่าใช้งานสินทรัพย์ของเราก็ต้องถูกจัดเก็บด้วย
14. ธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchises): กรณีที่ SME ทำธุรกิจในรูปแบบ “แฟรนไชส์” โดยที่เราเป็นเจ้าของแบรนด์ (Franchisor) คาร์บอนที่เกิดจากการดำเนินงานของผู้ซื้อแฟรนไชส์ หรือ ร้านสาขาแฟรนไชส์ของเรา ก็ถือเป็นการปล่อยคาร์บอนของเราด้วยเช่นกัน เว้นแต่จะเป็นการขายขาดโดยที่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากผู้ซื้อธุรกิจ
15. การลงทุน (Investments): หากเรามีการลงทุนในบริษัทหรือกิจการอื่นๆ เช่น ถือหุ้น, ให้กู้ ร่องรอยคาร์บอนที่เราไปลงทุนจะต้องคิดตามสัดส่วนการลงทุน หากกิจการนั้นมีการปล่อยคาร์บอน โดยนำมาพิจารณาในส่วนนี้


