ไทยนำเข้าเครื่องสำอางจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แตะ 5 พันล้าน
ตลาดเครื่องสำอางเดือด ผู้เล่นไทยกว่า 9 พันรายต้องเร่งปรับเกมสู้ แบรนด์จีนรุกหนักแย่งชิงแชร์ตลาดโลก ไทยนำเข้าเครื่องสำอางจีนแตะ 5.3 พันล้าน สูงประวัติการณ์
ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางรวม ทั้งในประเทศและส่งออก มีมูลค่าสูงกว่า 1.6 แสนล้านบาท กลับมาเติบโตเกินระดับก่อนเกิดโควิด-19 โดย Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่า ในปี 2568-2569 ตลาดจะขยายตัวต่อเนื่องแตะ 1.8 และ 2 แสนล้านบาท เติบโต 13.2% และ 12.3% ตามลำดับ
แม้แนวโน้มจะเป็นบวก แต่ธุรกิจยังเผชิญแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดภายในประเทศซึ่งมีสัดส่วนกว่า 78% ยังมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่ามูลค่าจะเพิ่มเป็น 1.4 และ 1.6 แสนล้านบาทในปี 2568-2569 หรือเติบโต 13.3% และ 12.9% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน มูลค่านำเข้าเครื่องสำอางก็เติบโตตามความต้องการในประเทศ โดยขยายตัว 16.1% และ 14.7% ต่อปีในช่วงเดียวกัน สะท้อนภาพรวมการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมความงามไทยอย่างชัดเจน
เร่งโกอินเตอร์ รับแรงหนุน FTA
ธุรกิจเครื่องสำอางไทยเดินหน้าขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกในปี 2567 แตะระดับกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 22% ของตลาดรวม เพิ่มขึ้น 20.6% จากปีก่อนหน้า และทะลุระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด
ตลาดหลักอย่างอาเซียน จีน ออสเตรเลีย และอินเดีย ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย Krungthai COMPASS คาดว่า การส่งออกเครื่องสำอางของไทยจะขยายตัวเฉลี่ย 12.8% และ 10.3% ต่อปี ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ และมีแนวโน้มแตะระดับ 4.3 หมื่นล้านบาทในปี 2569 หรือสูงกว่าระดับก่อนโควิดถึง 1.4 เท่า
หนึ่งในแรงส่งสำคัญคือสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 18 ประเทศ เช่น อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเปิดโอกาสให้แบรนด์ไทยรุกตลาดโลกได้คล่องตัวยิ่งขึ้น
ตลาดใหญ่-คู่แข่งเพียบ กลายเป็นสมรภูมิเดือด
ด้วยขนาดตลาดที่เติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจเครื่องสำอางจึงกลายเป็นสนามแข่งขันดุเดือด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ขายซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการนิติบุคคลในธุรกิจนี้มากกว่า 9,000 รายทั่วประเทศ และในช่วงปี 2562-2566 จำนวนผู้ประกอบการใหม่เติบโตเฉลี่ยปีละ 16.9%
การที่ธุรกิจเครื่องสำอางมีอุปสรรคในการเริ่มต้นต่ำ ทำให้ดึงดูดผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง ทั้งแบรนด์ไทยขนาดเล็ก อินฟลูเอนเซอร์ และผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ต้องการชิงส่วนแบ่งในตลาดที่ยังมีศักยภาพเติบโตทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จำนวนผู้ประกอบการที่เข้ามาในธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นทุกปี แต่จำนวนผู้ประกอบการที่ปิดกิจการก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เทรนด์ Fast Beauty ความท้าทายผู้ประกอบการ
แม้ตลาดเครื่องสำอางจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง แต่การอยู่รอดในสนามแข่งขันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในยุคที่เทรนด์เปลี่ยนเร็วแบบ “Fast Beauty” ซึ่งความนิยมในผลิตภัณฑ์สามารถเปลี่ยนไปภายในเวลาไม่นาน
ภายใต้กระแสดังกล่าว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องบริหารจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากสินค้าตกเทรนด์เร็วเกินไป หรือบริหารสต็อกผิดพลาด อาจต้องเผชิญปัญหาสินค้าค้างสต็อกหรือหมดอายุก่อนขายหมด ส่งผลกระทบต่อทั้งรายได้และต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ
จับตาแบรนด์จีนรุกหนัก แย่งแชร์ตลาดไทย-โลก
อีกหนึ่งแรงกดดันที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญ คือการเติบโตของแบรนด์เครื่องสำอางจีนที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงในตลาดไทยเอง
ข้อมูลล่าสุดในปี 2566 ชี้ว่า มูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางของจีนขยายตัวสูงถึง 32.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกัน ไทยนำเข้าสินค้าประเภทนี้จากจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มูลค่านำเข้าพุ่งแตะ 5.3 พันล้านบาท ถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าระดับก่อนโควิด (ปี 2562) ถึง 1.5 เท่า หรือเติบโตเฉลี่ย 8.4% ต่อปี (ปี 2562-2567)
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันแบรนด์จีนคือการใช้ช่องทางออนไลน์ขายตรงจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค ซึ่งช่วยลดต้นทุน และทำให้สามารถแข่งขันด้านราคากับผู้ประกอบการไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่แบรนด์ไทยต้องเร่งปรับกลยุทธ์ เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดทั้งในประเทศและระดับโลกให้ได้ในระยะยาว


