ธุรกิจบิวตี้โตแรง BEAUTRIUM รีเทลความงามลุ้นแตะ 100 สาขาในปี 68
ทำไม “บิวตี้” ถึงยังโต? ในวันที่เศรษฐกิจไม่สดใส BEAUTRIUM บิวตี้รีเทลสัญชาติไทย ปี 68 นี้ ลุ้นแตะ 100 สาขาทั่วประเทศ ชูจุดยืน “เครื่องสำอางไม่มีชนชั้น”
ในวันที่หลายอุตสาหกรรมยังสะดุดกับปัญหาเศรษฐกิจและการบริโภคหดตัว มีหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่ไม่เพียงรอด แต่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ ธุรกิจความงาม
จากข้อมูลของ Euromonitor International คาดการณ์ว่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยปี 2567 จะมีมูลค่าถึง 2.81 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 10.4% จากปีก่อนหน้า และติดหนึ่งใน 5 อุตสาหกรรมที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศ
คำถามคือ อะไรทำให้คนยังซื้อ “บิวตี้” แม้เศรษฐกิจจะไม่สดใส? และเหตุใดแบรนด์อย่าง BEAUTRIUM บิวตี้รีเทลสัญชาติไทย ถึงสามารถคว้ารางวัลระดับภูมิภาคอย่าง Cosmetics Retailer of the Year จากเวที Retail Asia Awards 2025 ได้สำเร็จ
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปชัดเจนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือมุมมองของคนต่อ “ความงาม” ที่ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย หรือของคนบางกลุ่มอีกต่อไป
BEAUTRIUM เป็นหนึ่งในตัวอย่างธุรกิจที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้ และเลือกจะไม่ขาย “ภาพฝัน” ของความงามในอุดมคติ แต่ยืนหยัดในฐานะ “Beauty Companion” เพื่อนของทุกความงาม ไม่ว่าลูกค้าจะมีรายได้ระดับใด หรือสไตล์แบบไหน
- แกะกลยุทธ์ BEAUTRIUM เครื่องสำอางไม่มีชนชั้น
นายจิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด กล่าวว่า รีเทลไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือการสร้างพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึกเป็นตัวเอง
แนวคิด “Cosmetic Equality” หรือเครื่องสำอางไม่มีชนชั้น ที่ BEAUTRIUM ยึดถือมานาน ช่วยให้สินค้าทุกชิ้นในร้าน ไม่ว่าจะเป็นเมคอัพ 100 บาท หรือเซรั่มราคาเป็นพัน ยืนอยู่เคียงข้างกันในชั้นวางเดียวกัน โดยสัดส่วนสินค้าทั้งหมดภายในร้าน BEAUTRIUM แบ่งออกได้เป็น สกินแคร์ 37%, เมคอัพ 35% และน้ำหอมและอื่น ๆ 8% โดยกลุ่ม “เมคอัพ” ยังคงเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
บิวตี้ไม่หยุด: เมื่อผู้บริโภคคือผู้นำเทรนด์
ในอดีต เทรนด์บิวตี้อาจถูกกำหนดโดยสื่อหรือแบรนด์ใหญ่ แต่ในยุคที่ TikTok ปั้นไอเทมไวรัลได้ในข้ามคืน ผู้บริโภคกลายเป็นผู้นำเทรนด์ตัวจริง BEAUTRIUM อ่านเกมนี้ออก และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่รายที่ “รันวงการ” แทนที่จะตามกระแส
- ปี 2567 เพียงปีเดียว BEAUTRIUM ดึงแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟเข้าร้านกว่า 41 แบรนด์
- วางขายแบรนด์ใหม่ในไทยก่อนช่องทางอื่น และขยายไลน์ไปถึงกลุ่มสินค้าผู้ชาย, คลีนบิวตี้ และบิวตี้เอเชีย
- มี SKU มากกว่า 100,000 รายการ ในทุกระดับราคา
- เบื้องหลังร้านสวย: กลยุทธ์ที่ไม่ใช่แค่หน้าร้าน
เบื้องหลังความสำเร็จของ BEAUTRIUM ไม่ได้อยู่แค่การจัดร้านสวยหรือโปรโมชันแรง แต่มาจากการ เข้าใจข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึก และนำมาปรับใช้ในระดับพื้นที่
- ใช้ Data-Driven Store Clustering แยกโมเดลร้านให้ตรงกับพื้นที่ เช่น สาขาเมืองเน้นไวรัลเทรนด์ สาขาต่างจังหวัดเน้นของใช้ง่าย ราคาดี ใช้งานได้จริง ราคาจับต้องได้ และมียอดหมุนเวียนเร็ว กลยุทธ์นี้สร้างความรู้สึก "เฉพาะตัว" ให้กับลูกค้ามากกว่าแนวทางแบบ One-Size-Fits-All
- เครือข่ายร้านกว่า 72 สาขาทั่วประเทศ และตั้งเป้าแตะ 100 สาขาภายในปี 2568
- ลงทุนใน Quick Commerce, Marketplace และแอปของตัวเอง ทำให้สินค้าถึงมือลูกค้าในเวลาเพียง 25 นาที
ในขณะเดียวกัน BEAUTRIUM ยังผลักดันระบบ Open Collaboration กับพาร์ตเนอร์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์, อินฟลูเอนเซอร์, ศูนย์การค้า หรือสื่อดิจิทัล ปี 2567 เพียงปีเดียว พวกเขาร่วมจัดกิจกรรมไปกว่า 800 ครั้ง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
- การเติบโตของแบรนด์ไทยในร้านไทย
แม้ตลาดเครื่องสำอางนำเข้าจะยังคงมีอิทธิพล แต่จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า 85% ของสินค้าบิวตี้ในไทยยังคงผลิตในประเทศ และ BEAUTRIUM เลือกสนับสนุนแบรนด์เหล่านี้อย่างจริงจัง
ปัจจุบัน BEAUTRIUM วางจำหน่ายแบรนด์ไทยกว่า 500 แบรนด์ และคิดเป็นกว่าครึ่งของยอดขายทั้งหมด
นายอติโรจน์ โรจน์รัตนวลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด กล่าวว่า เราวัดผลสำเร็จจากความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก ไม่ใช่แค่การขยายสาขา แต่คือการสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้ทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริโภค พันธมิตร และอุตสาหกรรมความงาม และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนชัดเจนผ่านตัวเลขที่เป็นรูปธรรม ฐานสมาชิกของบิวเทรี่ยมเติบโตเป็นกว่า 1 ล้านคนในปี 2567 มีอัตราการกลับมาใช้บริการถึง 40% ภายใน 5 เดือนแรกของปี 2568 และที่สำคัญคือมูลค่าการซื้อต่อครั้งเพิ่มขึ้น 5% อย่างต่อเนื่อง
การคว้ารางวัลระดับภูมิภาคในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของแบรนด์เดียว แต่สะท้อนถึง การเติบโตอย่างมีทิศทางของทั้งอุตสาหกรรม ในโลกที่บิวตี้ไม่ใช่เรื่องของ “ความหรูหรา” แต่คือ “ความกล้าเป็นตัวเอง”


