"ชา-กาแฟ-โกโก้" บูมแรง เชนใหญ่บีบ SME ต้องเร่งสร้างอัตลักษณ์แข่ง
ชาไทย-กาแฟ-โกโก้ โตต่อเนื่องจากกระแสรักสุขภาพและวัฒนธรรมการดื่ม แต่ภัยแล้ง-ทุนจำกัด-เชนขนาดใหญ่ บีบ SME ต้องเร่งสร้างอัตลักษณ์
ตลาดเครื่องดื่มอย่าง “ชาไทย ชาเขียวมัทฉะ กาแฟ และโกโก้” กำลังเติบโตอย่างโดดเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันที่รุนแรงจากเชนรายใหญ่ และข้อจำกัดของผู้ประกอบการขนาดเล็ก
- ชาไทยมาแรง เพราะหาดื่มได้แค่ในไทย
ตามรายงานผลสำรวจโครงการศึกษาความต้องการลูกค้าเชิงลึกรายอุตสาหกรรม โดยศูนย์วิจัยและข้อมูล SME D Bank ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระบุว่าอัตราการบริโภคชาทั่วโลกเติบโตเฉลี่ย 2.5% ต่อปี โดยเฉพาะ “ชาไทย” หรือ “ชาเย็น” ที่ได้รับความนิยมจากรสชาติหอมหวาน สีส้มสดเป็นเอกลักษณ์ และความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย และหาดื่มได้แค่ในไทยเท่านั้น ทำให้เป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติ
โดยใบชาไทยยังคงผลิตจากชาดำและชาแดงพันธุ์อัสสัมจากภาคเหนือ เช่น เชียงราย แพร่ และแม่ฮ่องสอน
- มัทฉะขาดตลาด ราคาสูง
รายงานยังระบุว่า ปี 2568 วัฒนธรรมการดื่มชานอกบ้านคาดว่าขยายตัว 5% ตลาดเครื่องดื่มชาไทยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 2.2% ต่อปีในช่วงปี 2564-2568 ในขณะที่ตลาดมัทฉะหรือชาเขียวจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วโลกก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในกลุ่มรักสุขภาพและผู้ควบคุมน้ำหนัก คาดว่าตลาดมัทฉะทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 เติบโตเฉลี่ย 9.44% ต่อปี อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศที่ผันผวนทั่วโลกทำให้ผลผลิตใบชาเขียวลดลง คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกิด “ภาวะขาดแคลนมัทฉะ” และราคาสูงขึ้น
- กาแฟไทยเจอศึกหนัก วิกฤตโลกร้อน-นำเข้าพุ่ง-แบรนด์เล็กถอย
ด้าน “อุตสาหกรรมกาแฟ” ไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มกาแฟพรีเมียมและสเปเชียลตี้ที่มีเรื่องราวเชื่อมโยงกับพื้นที่ปลูกและคุณภาพมาตรฐานโลก
อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศแปรปรวนส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง โดยปี 2567–มี.ค. 2568 ปริมาณการผลิตกาแฟไทยจำนวน 15,651 ต้นลดลงจากปีที่ผ่านมาปริมาณความต้องการใช้ 95,000 ตันวัตถุดิบในประเทศไม่พอจึงต้องนำเข้ามากกว่า 80,000
ภาวะนี้กระทบต้นทุนของร้านกาแฟขนาดเล็ก ขณะที่แบรนด์ใหญ่สามารถใช้ต้นทุนจากการนำเข้าในปริมาณมากได้เปรียบ ร้านกาแฟรายย่อยจำนวนมากจึงประสบปัญหาดำเนินการต่อไม่ได้ แม้ว่าเทรนด์กาแฟยังสดใสและตลาดคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 52,099 ล้านบาทในปี 2568
- โกโก้ไทยกำลังมา แต่ยังพึ่งนำเข้า
อีกหนึ่งดาวรุ่งที่ถูกจับตามองคือ “โกโก้” พืชเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังถูกผลักดันโดยภาครัฐ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางโกโก้ในอาเซียน โดยผลผลิตโลกกำลังลดลงจากภาวะเอลนีโญ และต้นทุนสูงขึ้น แต่ความต้องการกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้รักสุขภาพ ตลาดผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลตไทยปี 2568 คาดว่ามีมูลค่ามากกว่า 9,000 ล้านบาท เติบโต 5.3%
ปัจจุบัน ไทยยังต้องนำเข้าโกโก้ปีละกว่า 40,000 ต้น แม้มีแผนส่งเสริมในหลายพื้นที่ เช่น เชียงราย ชุมพร และนครศรีธรรมราช แต่เกษตรกรยังเผชิญอุปสรรค ทั้งการเข้าถึงกล้าพันธุ์ ทุน และตลาดรับซื้อ
- SME ชากาแฟโกโก้ต้องแตกต่าง เพื่ออยู่รอดจากการแข่งขัน
ผู้ประกอบการร้านชา กาแฟ และโกโก้รายย่อยกำลังเผชิญแรงกดดันจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของร้านเชนแบรนด์ใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนครองตลาดกว่า 71% ของร้านทั้งหมดทั่วประเทศ ขณะที่ร้านอิสระ (Independent store) มีเพียง 29% เท่านั้น
การแข่งขันในตลาดยังคงรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อเชนแบรนด์รายใหญ่เดินหน้าขยายสาขา เพิ่มพื้นที่จำหน่าย และเจาะตลาดหลากหลายกลุ่มผู้บริโภค ทั้งกลุ่มแมสและกลุ่มพรีเมียม ส่งผลให้ร้านรายย่อยซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs เผชิญข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งเงินทุนหมุนเวียนต่ำ ฐานลูกค้าไม่มั่นคง และต้นทุนต่อหน่วยที่สูงจากการขาดอีโคโนมีออฟสเกล (Economies of scale)
สำหรับโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจเครื่องดื่มชา กาแฟ และโกโก้ สามารถจำแนกได้เป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ 40%, ค่าแรงงาน 30%, ค่าเช่าสถานที่และค่าสาธารณูปโภค 20% และงบการตลาดประชาสัมพันธ์ 10% โดยธุรกิจร้านเครื่องดื่มกลุ่มนี้มีกำไรต่อหน่วยจากการจำหน่ายเครื่องดื่มอยู่ที่ประมาณ 50–70% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการจัดหาเงินทุน ธุรกิจเอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมนี้กว่า 96% ยังคงใช้ทุนส่วนตัวเป็นหลัก มีเพียง 2% ที่เป็นการร่วมลงทุน และอีก 2% ที่มาจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
สาเหตุที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังหลีกเลี่ยงการกู้สินเชื่อ มีหลายปัจจัย อาทิ มองไม่เห็นโอกาสเติบโตของธุรกิจในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงมองว่าการกู้เงินมีความเสี่ยงสูง และอาจไม่สามารถแบกรับภาระดอกเบี้ยได้ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ไม่มั่นใจในการขยายธุรกิจ
รวมถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ เช่น ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือมีประวัติติดเครดิตบูโร ผู้ประกอบการบางรายหันไปพึ่งพาเงินกู้จากแหล่งที่ไม่เป็นทางการเช่น สหกรณ์ หรือคนรู้จัก ที่มักให้เงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำและปล่อยกู้ง่ายกว่า
ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนถึงความเปราะบางด้านเงินทุนของธุรกิจ SMEs ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มชา กาแฟ และโกโก้ ที่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ร้านชา กาแฟ และโกโก้รายย่อยจึงจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการเจาะตลาดเฉพาะ (Niche Market) พร้อมสร้างอัตลักษณ์และเรื่องราวเฉพาะตัว เช่น การใช้วัตถุดิบออร์แกนิก การสนับสนุนเกษตรกรในชุมชน หรือการออกแบบประสบการณ์ร้านให้แตกต่าง เพื่อสร้างความโดดเด่นและความจงรักภักดีในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ได้มากที่สุด


