‘พสุธารา’ ปลูก-แปรรูป เลม่อน ตีตลาดออนไลน์ ขาย 2 ชั่วโมง ได้ 1 ล้าน
เมื่อ ‘อาหารคือยา’ จุดไฟให้ ดรุณี วัฒน์นครบัญชา สร้างแบรนด์แปรรูปเลม่อนเพื่อสุขภาพ ในชื่อแบรนด์ ‘พสุธารา’ จนปั้นยอดขายทะลุล้าน ผลงานไลฟ์เคยทำยอดขาย 2 ชั่วโมง 1 ล้าน
KEY
POINTS
- เมื่อ ‘อาหารคือยา’ จุดไฟให้ ดรุณี วัฒน์นครบัญชา สร้างแบรนด์แปรรูปเลม่อนเพื่อสุขภาพ ในชื่อแบรนด์ ‘พสุธารา’
- จนปั้นยอดขายทะลุล้าน ผลงานไลฟ์เคยทำได้ 2 ชั่วโมง 1 ล้าน
- เตรียมแตกไลน์สินค้า พร้อมขยายโรงงาน มุ่งตีตลาดญี่ปุ่น-จีน
จากชีวิตที่เคยผูกพันอยู่กับงานในคลินิกทันตกรรมกลางเมืองกรุง สู่การผันตัวมาเป็นเกษตรกรเจ้าของสวนเลม่อน ก่อนจะก้าวสู่บทบาทนักธุรกิจเงินล้าน เส้นทาง ดรุณี วัฒน์นครบัญชา ไม่ได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
จากการล้มป่วยด้วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคพุ่มพวง (SLE) จึงทำให้เธอเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ และศึกษาแนวทาง 'อาหารคือยา' อย่างจริงจัง ด้วยความเชื่อและความเข้าใจในพลังของธรรมชาติ และเลือก ปลูก 'เลม่อน' เป็นพืชหลัก
ดรุณี เล่าย้อนความหลังให้ฟังว่า ตนเองเป็นโรคภูมิแพ้ในตอนที่อายุ 38 ปี ซึ่งตอนนี้อายุ 58 ปีแล้ว ตอนนั้นต้องรักษาด้วยยารักษา ฟอกไต เจาะไขสันหลัง และติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ด้วยความที่ตนเองเป็นคนไม่ชอบหาหมอ จึงพยายามหาข้อมูลการรักษาเกี่ยวกับโรคดังกล่าว อ่านหนังสือ หางานวิจัยหลายเล่ม จนพบข้อมูลเกี่ยวกับการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ คือ 'การกิน' และใช้ 'อาหารให้กลายเป็นยา'
จึงตั้งเป้ากับตนเองว่าภายใน 3 เดือนจะบำบัดรักษาตนเองด้วยวิธีธรรมชาติ ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่เห็นผล ก็จะเข้ารับการรักษาด้วยการรับประทานยาที่ทางแพทย์สั่ง
“ตอนนั้นต้องเปลี่ยนวินัยการกิน อะไรที่ชอบต้องทำใจตัดออกไป เช่น ลดและเลี่ยงข้าวขาวขัดสี ตัดผลไม้หวานทุกอย่าง ตัดน้ำอัดลมและขนมต่างๆ ผลปรากฎว่าใช้เวลาไป 2 เดือนครึ่ง อาการของโรคเริ่มสงบลง ทำให้มองว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถรักษาร่วมกับวิธีทางการแพทย์ หลังจากนั้นก็ทำมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3 ปี ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย ปัจจุบันสามารถกินได้ทุกอย่าง แต่ในปริมาณที่เหมาะสม”
หลังจากอาการสงบลงประมาณ 10 ปี ชีวิตเกษตรกรก็เริ่มขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ ..
ดรุณี เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีผู้มาติดต่อเสนอขายที่ดินแปลงหนึ่งในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ขนาดประมาณ 43 ไร่ ซึ่งติดจำนองกับธนาคาร เธอตัดสินใจซื้อไว้เพราะต้องการช่วยเหลือเจ้าของที่ดิน แม้ในตอนนั้นจะยังไม่รู้ว่าจะนำที่ดินไปใช้ประโยชน์อย่างไร
หลังจากซื้อมาไม่นาน ก็มีผู้มาติดต่อขอซื้อที่ดินต่อ พร้อมเสนอราคาที่มีกำไรมากถึง 14 ล้านบาท โดยที่เธอยังไม่ได้พัฒนาอะไรเลย เดิมทีตั้งใจจะขาย แต่เมื่อขับรถไปยังที่ดินเพื่อรับเงินมัดจำกลับถูกดึงดูดด้วยทัศนียภาพที่งดงาม บรรยากาศรอบ ๆ เต็มไปด้วยธรรมชาติเงียบสงบ จึงเปลี่ยนใจไม่ขาย
“หลังจากนั้นก็เริ่มแวะเวียนมาดูที่บ่อยขึ้น และเห็นว่าที่ดินแปลงนี้เต็มไปด้วยวัชพืช และดินก็ไม่อุ้มน้ำ เป็นดินเสื่อมสภาพ ก็เลยทดลองปลูกปอเทืองดูซิ โดยไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นพืชช่วยฟื้นฟูดิน ช่วยเพิ่มไนโตรเจนในดิน เราปลูกเพราะอยากให้พื้นที่มันสวยงามเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าปอเทืองช่วยฟื้นฟูสภาพดินให้ดีขึ้น จึงปลูกปอเทืองหมุนเวียนกันปลูก 3-4 ครั้ง”
พร้อมกับตั้งชื่อที่ดินผืนนี้ว่า ‘พสุธารา’ เป็นการผสมคำว่า 'พสุธา' ที่หมายถึงแผ่นดิน กับ ‘ธารา’ ที่แปลว่าสายน้ำ เป็นลำธารที่ไหลผ่านที่ดิน รวมความหมายเป็น ‘ดินและน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนและพืชผัก’
ทดลองปลูกเลม่อนในสมัยที่คนยังไม่นิยม
ดรุณี กล่าวอีกว่า เริ่มต้นนำเลม่อนมาปลูก เพราะว่าไปเห็นจากต่างประเทศ สมัยนั้นไม่ใช่พืชที่นิยมปลูกในไทย เพราะหลายคนเชื่อว่าต้องปลูกในเมืองหนาว ตอนแรกคิดว่าจะปลูกไว้กินเองแค่ 10 ต้น เพราะอยากกินและใช้กับธรรมชาติ ควบคู่กับพืชผักสวนครัวอื่น ๆ แต่ไปๆ มาๆ กับขยายปลูกกลายเป็นร้อยต้นพันต้น
“พอปลูกเยอะผลผลิตก็เยอะ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะไม่ได้ขาย ไม่มีตลาดรองรับ สมัยนั้นคนยังไม่นิยมเท่าไหร่ ก็เลยต้องทิ้งไปแบบน่าเสียดายมาก จำได้ว่าเคยทิ้งไปมากกว่า 1 ตัน”
ลุยแปรรูป เลม่อนสไลด์-เลม่อนดองน้ำผึ้ง
จากนั้นเธอจึงคิดหาวิธีแปรรูปเลม่อน ด้วยการดองกับน้ำผึ้งและจำหน่ายให้คนรู้จัก เพื่อให้ผู้บริโภคเริ่มคุ้นเคยกับรสชาติและประโยชน์ของเลม่อน ต่อมาทดลองทำขนมอย่าง 'เลม่อนสไลด์อบแห้ง' แจกจ่ายให้เพื่อนฝูงและคนรอบตัวลองชิม
ปรากฏว่าเสียงตอบรับดีเกินคาด โดยเฉพาะคำแนะนำจากเพื่อนที่บอกว่า “เลม่อนสไลด์แบบนี้ต้องวางขายในห้างดัง” กลายเป็นแรงผลักดันให้เธอเดินหน้าผลิตเลม่อนอบแห้งอย่างจริงจัง
“ตอนนั้น เลม่อนสไลด์กลายเป็นตัวฮีโร่โปรดักส์ ช่วงหลังเริ่มแตกไลน์สินค้า เช่น เลม่อนสไลด์พริกเกลือ แปรรูปเป็นน้ำมันหอมระเหยจากผิวเลม่อน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอางหรือคลีนซิ่งจากสารสกัดเลม่อน ภายใต้แบรนด์ ‘พสุธารา’ เปิดขายหน้าร้านที่ราชบุรี ก่อนจะเริ่มขยายสู่ช่องทางออนไลน์ในภายหลัง"
ก่อนจะขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมของวัตถุดิบจากที่สวนนอกเหนือจากเลม่อน เช่น โรสแมรี่มาแปรรูปเป็นแชมพู หรือครีมสกินแคร์
การหันมาจับด้านสกินแคร์ ดรุณี เล่าว่า มาจากประสบการณ์เคยใช้ครีมกระปุกละ 30,000 บาท และเริ่มตั้งคำถามว่า ส่วนผสมราคาแพงจริงหรือ หรือทั้งหมดเป็นต้นทุนการตลาด? จึงทดลองทำสูตรของตัวเอง โดยมีเภสัชกรและซัพพลายเออร์ระดับประเทศมาเป็นพี่เลี้ยง ให้คำแนะนำแบบตรงไปตรงมา
เพราะอยากทำครีมคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ด้วยแนวคิดที่ว่า คนจะซื้อของถ้าเชื่อว่ามันดีและคุ้มค่า ภายใต้เงื่อนไขที่เขาจ่ายไหว โดยครีมที่ขายจะเป็นการสกัดจากพืชธรรมชาติหลายชนิด ไม่ได้มีแต่เลม่อน ขายหลักพัน บางตัวราคากระปุกละ 4,800 บาท
การตั้งราคาสินค้าทางแบรนด์มองว่าเป็นราคาที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ เพราะสินค้ามีคุณภาพและเป็นสินค้าที่ถูกคิดค้นมาแล้วว่าดีต่อผู้บริโภค กลุ่มลูกค้าของทางแบรนด์จะเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อและพึงพอใจในคุณภาพของสินค้า
ทั้งนี้ ปัจจุบันเลม่อนสดมีการนำไปขายบ้างเป็นบางส่วน เพราะส่วนใหญ่จะนำมาแปรรูปโดยมีโรงผลิตเป็นของตัวเอง ทำให้สินค้าของพสุธารามีอยู่ประมาณ 50-60 SKU
เริ่มไลฟ์ เคยทำได้หลักล้านใน 2 ชั่วโมง
นับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 เป็นต้นมา เคยมีโอกาสได้ทดลองทำหลายอย่าง ไปช่วยคนนั้นคนนี้ขายของ สร้างคอมมูนิตี้เรื่องค้าขาย จนกระทั่งได้เริ่มต้นไลฟ์ขายสินค้า เพื่อพูดคุยกับลูกค้า บางวันไลฟ์ขายของได้ 1 ล้านบาทภายใน 2 ชั่วโมง รวมสินค้าทั้งหมดของทางแบรนด์ ซึ่งครีมกระปุกละ 4,800 บาทจะเป็นตัวที่ขายดีที่สุด ในปัจจุบันลูกค้าสั่งซื้อผ่านระบบหลังบ้านและจะมาไฟล์สดพูดคุยกับลูกค้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
“เราเป็นคนใช้ของคุณภาพ เท่าไหร่ก็จ่าย เชื่อว่าคนซื้อของด้วยคุณภาพ ไม่ใช่ราคา ถ้าเขาเลือกได้ เราแข่งคุณภาพ ไม่แข่งราคา สะสมลูกค้าจาก 1 คน 2 คนไปเรื่อย ๆ เกิดการบอกต่อ”
นอกจากหน้าร้านสินค้าของทางแบรนด์ถูกนำไปขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายและเพิ่มจำนวนมากขึ้น หลังจากสร้างแบรนด์มีชื่อเสียงก็เริ่มมีสินค้าบางระเภทสามารถเข้าไปวางขายที่ คิงพาวเวอร์ เอมควอเทียร์ เลม่อนฟาร์ม ไร่องุ่นกรานมอนเต้ เขาใหญ่ และไอค่อนสยาม
ปีนี้คือจังหวะขาขึ้นของตลาด ต้องลงมือก่อนจะพลาดโอกาส
ดรุณี เผยว่า หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้าน พบว่าปี 2568 เป็นช่วงเวลาที่ตลาดมีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน เราจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน จากเดิมที่เน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐาน มาสู่การเดินหน้าเชิงรุกด้านการตลาดก่อน เพราะเราเชื่อว่า เวลาเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ถ้ามัวแต่รอให้ทุกอย่างพร้อม ก็อาจพลาดโอกาสสำคัญไป
สิ่งสำคัญที่สุดในปีนี้ คือการ โฟกัสให้ถูกจุด
ปีที่ผ่านมาเราเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ มีทั้งหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรจากต่างประเทศ รวมถึงพาร์ตเนอร์จากญี่ปุ่นที่สนใจเข้าร่วม ข้อเสนอมากมายหลั่งไหลเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นคำเชิญชวนหรือข้อเสนอการร่วมลงทุน แต่เรายังไม่รีบด่วนตัดสินใจ เพราะต้องการเลือกสิ่งที่เหมาะสมและยั่งยืนที่สุด
กระทั่งวันหนึ่งเราได้พูดคุยกับ SME D Bank ซึ่งให้คำแนะนำว่า ตอนนี้คือจังหวะเหมาะที่จะ scale up แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านเวลา เงินทุน และทรัพยากรบุคคล คำถามสำคัญที่เราต้องตอบให้ได้คือ
“ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ กับโอกาสที่อยู่ตรงหน้า เราควรเลือกเดินหมากแบบไหน?”
คำตอบของเราคือ การลงทุนสร้างโชว์รูมและพื้นที่ต้อนรับลูกค้า พร้อมโปรเจกต์ Hall of Fame เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและผลงานของแบรนด์อย่างชัดเจน กลยุทธ์นี้ช่วยให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น และส่งผลโดยตรงต่อยอดขาย
ยอมรับเศรษฐกิจไม่คึกคัก อย่าทำเกินสิ่งที่ตัวเองมี
ดรุณีสะท้อนข้อคิดทางธุรกิจอีกว่า ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 100% แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราต้องกลับมาทบทวนอย่างจริงจังว่า เสต็ป 1 2 3 เราจะต้องบริหารจัดการอย่างไร?
แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะไม่คึกคัก แต่เรายังเชื่อว่าสินค้าคุณภาพดีในตลาดเฉพาะทางยังคงมีความต้องการ เราไม่ได้เน้นขายในตลาด mass ขนาดใหญ่ เคยมีคนเสนอให้เราผลิตล็อตใหญ่หลักล้านชิ้น แต่เรารู้ตัวดีว่าไม่ใช่แนวทางของเรา ฉะนั้นพสุธาราจะไม่จับตลาด mass แน่ ๆ
เราจึงประเมินตัวเองอย่างละเอียด ตั้งแต่กำลังการผลิต การแพ็คสินค้า การบริหารโกดัง จนถึงจำนวนบุคลากรที่ต้องใช้ เราไม่อยากฝืน ทำในสิ่งที่เกินขีดจำกัดของทีม เพราะเราเชื่อในแนวทางที่ทำได้จริง เราจะไม่ทำในสิ่งที่เกินจินตนาการแน่ ๆ
รุกตลาดส่งออก พร้อมบุกญี่ปุ่น-จีน
ปีนี้เราวางแผนขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยโฟกัสกลุ่ม Upper Mass ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกว่าตลาดทั่วไปเล็กน้อย เน้นคุณภาพเต็มที่ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่คุ้มค่า และแบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ในปีนี้ สินค้าที่ผ่านการแปรรูปของแบรนด์เริ่มมีแนวโน้มส่งออกมากขึ้น โดยมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุนและผลักดัน เรามองว่าญี่ปุ่นคือจุดหมายแรกที่เหมาะสม และตามมาด้วยประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และมีศักยภาพสูง
ปี 2568 คือปีแห่งการ “ลงมือจริง” ไม่ใช่แค่ฝัน เราเดินไปทีละขั้นอย่างมั่นคง ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และไม่ลืมความเป็นจริงที่เราต้องเผชิญ


