อาหารญี่ปุ่น ไม่ว่าจะกี่ยุคก็ยังบูม ร้านพุ่งแตะ 6 พันแห่งในไทย
อาหารญี่ปุ่นไม่ว่าจะกี่ยุคก็ยังบูมในไทย ร้านพุ่งแตะเกือบ 6 พันแห่ง โตแรงทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ดันส่งออกวัตถุดิบญี่ปุ่นทะลัก หอยเชลล์-เนื้อวัวมาแรงในตลาดไทย
แม้จะผ่านไปหลายยุคสมัย แต่อาหารญี่ปุ่นก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย สะท้อนผ่านรายงานจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ซึ่งพบว่า จำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยผลสำรวจระบุว่า ปี 2567 มีร้านอาหารญี่ปุ่นรวมทั้งสิ้น 5,916 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 165 ร้าน หรือราว 2.9% โดยเติบโตทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด อัตราเติบโตในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 2.7% เท่ากัน ขณะที่ต่างจังหวัดเติบโตสูงถึง 3.1%
เมื่อแบ่งตามประเภทร้าน ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นยังคงครองแชมป์ด้วยจำนวนมากที่สุดที่ 1,439 ร้าน เพิ่มขึ้นถึง 6.3% จากปีก่อน ตามมาด้วยร้านซูชิ ราเมง อิซากายะ สุกี้ชาบู ยากินิคุ และร้านบาร์บีคิว
ขณะที่รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยล่าสุด ที่ชี้ว่า ในปี 2568 ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นยังคงเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการ ทั้งรายใหญ่ รายย่อย และนักลงทุนหน้าใหม่ ให้ความสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหารพรีเมียม ที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
กลยุทธ์การนำเสนออาหารญี่ปุ่นที่ทำให้คนไทยหลงรัก
สิ่งที่ทำให้อาหารญี่ปุ่นครองใจผู้บริโภคชาวไทยมายาวนาน ไม่ได้มีแค่ความอร่อย แต่ยังรวมถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและแนวคิดเบื้องหลังอาหารแต่ละจาน ไม่ว่าจะเป็น...
1.วัตถุดิบสดใหม่ หลากหลาย และเคารพในรสชาติธรรมชาติ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศ ตั้งแต่ทะเลไปจนถึงภูเขา ทำให้แต่ละภูมิภาคมีวัตถุดิบเฉพาะตัว การปรุงอาหารก็เน้นการดึงรสชาติแท้ๆ ของวัตถุดิบออกมา ไม่กลบด้วยเครื่องปรุงมากเกินไป
2.สมดุลและดีต่อสุขภาพ
แนวคิด “ข้าว ซุป กับข้าว 3 อย่าง” ทำให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารครบถ้วน และด้วยการใช้รสอูมามิแทนไขมันสัตว์ ก็ยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยลดความเสี่ยงโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่างๆ
3.สื่อถึงธรรมชาติและฤดูกาล
อาหารญี่ปุ่นสะท้อนความงามของฤดูกาลผ่านการตกแต่งจาน เช่น การใช้ใบไม้หรือดอกไม้ตามฤดู และเลือกใช้ภาชนะให้เข้ากับบรรยากาศ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่มากกว่าแค่การกิน
4.ผูกโยงกับเทศกาลและวิถีชีวิต
การกินอาหารในญี่ปุ่นมักเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและกิจกรรมประจำปี เช่น งานเฉลิมฉลองต่างๆ ทำให้อาหารกลายเป็นสื่อกลางที่เชื่อมผู้คนในครอบครัวและชุมชนเข้าด้วยกัน เช่น โอะเซจิเรียวริ (Osechi Ryori) ที่ทานกันช่วงปีใหม่ เป็นอาหารที่มีความหมายมงคลแต่ละชนิด คาชิวะโมจิ (Kashiwa Mochi) ขนมโมจิที่ห่อด้วยใบโอ๊ค ทานในวันเด็กชาย (5 พฤษภาคม) ซูชิแบบฮิเมะ หรือ เอะโฮมากิ (Ehomaki) ที่นิยมกินในวันเซ็ตสึบุน (Setubun) เพื่อเสริมโชคลาภ
นอกจากนี้ อาหารญี่ปุ่นยังโดดเด่นด้วยการระบุแหล่งที่มาของวัตถุดิบเพื่อเพิ่มความพรีเมียม เช่น ชาเขียวจากชิซูโอกะ อูนิจากฮอกไกโด เนื้อวัวจากโกเบ หรือองุ่นจากยามานาชิ ซึ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์สินค้าที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้
ญี่ปุ่นส่งออกอาหารทะเลและวัตถุดิบพรีเมียมสู่ไทยต่อเนื่อง
ไม่เพียงแค่ร้านอาหารญี่ปุ่นเท่านั้นที่เติบโต ตลาดสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นในหมวดอาหารก็ขยายตัวเช่นกัน โดยเจโทร กรุงเทพฯ ระบุว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าป่าไม้และประมงจากญี่ปุ่นมายังไทยในปี 2567 แตะระดับ 62,800 ล้านเยน เพิ่มขึ้นถึง 22.9% จากปีก่อน และไทยยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 7 ของญี่ปุ่น รองจากเวียดนาม
สินค้าส่งออกที่เติบโตอย่างโดดเด่น คือเนื้อวัว ที่เพิ่มจาก 2.9 พันล้านเยน เป็น 4 พันล้านเยน รวมถึงหอยเชลล์โฮตาเตะ ที่มูลค่าพุ่งจาก 1.2 พันล้านเยน เป็น 4.2 พันล้านเยนในปีเดียว ขึ้นมาเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 3 แทนที่อันดับ 10 ในปีก่อนหน้า
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หอยเชลล์มีมูลค่าส่งออกสูงขึ้น อาจมาจากการที่จีนระงับการนำเข้าสินค้าทะเลจากญี่ปุ่น ทำให้หอยเชลล์ที่ปกติส่งไปแกะเปลือกที่จีนต้องส่งมาแกะเปลือกในไทยแทน มูลค่าการค้าหอยเชลล์จึงเพิ่มแบบก้าวกระโดด อีกปัจจัยคือแคมเปญโปรโมตในไทยที่เชิญเชฟชื่อดัง เช่น เชฟกระทะเหล็ก มารังสรรค์เมนูจากหอยเชลล์ เพื่อให้คนไทยรู้จักและเข้าถึงวัตถุดิบคุณภาพจากญี่ปุ่นมากขึ้น
ที่มา : จากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ)


