posttoday

ตลาดแมลงกินได้โต โอกาสฟาร์มท้องถิ่นแปรรูป โกยกำไรหลักแสนต่อปี

13 พฤษภาคม 2568

"ตลาดแมลงกินได้” โตเฉลี่ย 25% ถึงปี 2030 ไทยอันดับ 6 ผู้ส่งออกรายใหญ่โลก โอกาสฟาร์มท้องถิ่นต่อยอดธุรกิจ แปรรูปโกยกำไรหลักแสนต่อปี หนุนคนบริโภคโปรตีนแมลงแทนเนื้อสัตว์

แมลงกำลังได้รับความสนใจในฐานะแหล่งอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการคาดการณ์ว่า “ตลาดแมลงกินได้” จะเติบโตเฉลี่ย 25.1% ระหว่างปี 2025 – 2030 โดยได้รับความนิยมในการแปรรูปเป็น โปรตีนผง (Powder) โปรตีนอัดแท่ง (Protein Bar) และบดผสมเป็นอาหารสัตว์


ประเทศไทยถือว่า มีศักยภาพการแช่งขันในตลาดแมลงกินได้ของโลก (จากมูลค่าการส่งออกอันดับ 6 ของโลก) ถึงแม้มูลค่าส่งออกยังไม่มาก แต่ในอนาคตด้วยองค์ความรู้ท้องถิ่นในการเพาะเลี้ยง การจับรวมถึงตลาดการบริโภคภายในประเทศจะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต

 

ซึ่งอาจทำกำไรได้สูงถึง 260,000 บาท/ปีและในอนาคตเทรนด์รักษ์โลก แนวโน้มอุณหภูมิที่สูงขึ้น จะมีส่วนช่วยให้ไทยมีศักยภาพสูงขึ้นในการแข่งขันในตลาดแมลงกินได้ 
 

 

โอกาสไทยพัฒนาตลาด


1.องค์ความรู้การเพาะเลี้ยงและตลาดในประเทศรองรับ 

 

ประเทศไทยมีองค์ความรู้พื้นบ้านในการจับ เลี้ยง และปรุงแมลงเพื่อบริโภคหลากหลายชนิด เช่น จิ้งหรีด ดักแด้ แมงดา โดยสามารถผลิตแมลงเศรษฐกิจได้มากกว่า 7,000 ตันต่อปี 

 

ปัจจุบัน ตลาดภายในประเทศให้การตอบรับที่ดีต่อแมลงกินได้โดยมีการแปรรูป และจำหน่ายในรูปแบบ ผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ทั้งในตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร ทำให้การเลี้ยงแมลงมีศักยภาพทางเศรษฐกิจและสามารถพัฒนาให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืนในระดับครัวเรือนได้ 


2.ตัวเลือกที่ยั่งยืน ประหยัดทรัพยากร ตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลก 


เนื่องจากภาคปศุสัตว์ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 7.1 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 eq) ต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 14.5% ของก๊าซเรือนกระจก (GHG) ทั้งหมดทำให้ผู้บริโภค
ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเริ่มมีการหันเหไปบริโภคโปรตีนจากแมลงทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม เพิ่มขึ้น

 

การผลิตโปรตีนจากแมลง 1 กิโลกรัม มีการปล่อย GHG เพียง 1 กิโลกรัม CO2eq น้อยกว่าการทำปศุสัตว์ดั้งเดิม 27 – 40 เท่า เมื่อเทียบกับปริมาณโปรตีนที่ได้รับจากปศุสัตว์ในจำนวนที่เท่ากัน 

 

อีกทั้ง การทำฟาร์มแมลงกินได้ สามารถเลี้ยงในพื้นที่จำกัด  ใช้น้ำและปริมาณอาหารน้อยกว่าปศุสัตว์อื่น เช่น วัว หมู ไก่ 5 -13 เท่า ทำให้ หากเทียบเป็นปริมาณโปรตีนที่ได้รับเท่ากัน การทำฟาร์มแมลง จะเป็นทางเลือกที่ต้นทุนทรัพยากรต่ำที่สุด และมีความยั่งยืนกว่ามาก
 

3.อากาศร้อนและแนวโน้มอุณหภูมิที่สูงขึ้น ส่งผลให้การเพาะเลี้ยงแมลงยิ่งได้เปรียบในอนาคต 

 

แมลงอาจเป็นแหล่งโปรตีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ซึ่งขณะที่ปศุสัตว์ต้องเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้นมีผลกระทบอย่างมากต่อปศุสัตว์ เช่น วัว หมู ไก่ โดยจะลดอัตราการเจริญเติบโต เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อแบคทีเรียและปรสิต และลดการให้ผลผลิต เช่น เนื้อไก่ และนมวัว สูงถึง 38% 

 

ขณะที่แมลงมีความสามารถในการปรับตัวต่ออุณหภูมิสูงได้ดีกว่า และอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจช่วยให้แมลงบางชนิดเติบโตเร็วขึ้น ทำให้สามารถผลิตโปรตีนจากแมลงได้เร็วขึ้น 

 

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอาจส่งผลเสียต่อการเติบโต และความหลากหลายของสายพันธุ์แมลงบางชนิดได้เช่นกัน เช่น ผึ้ง ผีเสื้อ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศในระยะยาว ดังนั้น การหลีกเลี่ยงต้นเหตุของผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นสิ่งจำเป็น


ตอนนี้ตลาดค้าแมลงของโลกเป็นอย่างไร?


ตลาดแมลงกินได้ในตลาดโลกในปี 2024 มีมูลค่า 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการผลิตและบริโภคแมลงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดแมลงกินได้จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 25.1% ระหว่างปี 2025 – 2030 โดยเฉพาะในยุโรป อเมริกา และเอเชียตะวันออก 

 

ซึ่งมีการใช้แมลงเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับทั้งมนุษย์ในรูปแบบโปรตีนผง (Powder) โปรตีนอัดแท่ง (Protein Bar) และบดผสมเป็นอาหารสัตว์ 


สำหรับประเทศไทยมีการส่งออกแมลงใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก โดยคิดเป็น 6% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของโลก หรือ 5.86 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นหลัก 

 

ทั้งนี้ ผู้เล่น หลักในตลาดแมลงกินได้ของโลก ได้แก่ สเปน จีน และออสเตรเลีย โดยมีสัดส่วนการส่งออกรวมราว 2 ใน 3 

 

ความท้าทาย ไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตแมลงรายใหญ่ และมีแมลงกินได้ที่มีโปรตีนสูงหลายชนิดสามารถ เพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้ เช่น จิ้งหรีด หนอนไม้ไผ่ แมงมัน ดักแด้ไหม หนอนนก

 

ถึงแม้ปัจจุบัน มูลค่าการส่งออกแมลงยังคงมีมูลค่าไม่มาก แต่ในอนาคต ด้วยกระแสรักษ์โลก และแนวโน้มอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น อาจเป็นส่วนช่วยให้ตลาดแมลงกินได้ไทยขยายตัวได้มำกยิ่งขึ้น 

 

แต่การยอมรับของผู้บริโภคยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากความรู้สึกไม่คุ้นเคยและความ กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร อีกทั้งยังคงต้องติดตามผลกระทบด้านอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น หรือที่อาจเปลี่ยนไปในกรณีการผลิตเพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และในพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกัน 

 

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า แมลงมีแนวโน้มได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตในอนาคตแมลงสามารถเลี้ยงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าปศุสัตว์ 

 

ทั้งนี้ ต้นทุนการลงทุนเบื้องต้นของฟาร์มขนาดพื้นฐานในการเลี้ยงแมลง เช่น จิ้งหรีด อยู่ในระดับไม่สูงมากนัก เพียงประมาณ 45,000 – 75,000 บาท สามารถสร้างกำไรจากการจำหน่ายแมลงสด 9,600 –37,000 บาท/ปี และหากสามารถแปรรูปเป็นแป้งแมลงจะทำให้กำไรสูงขึ้นเป็น 260,000 บาท/ปี

 

นอกจากนี้ หากพิจารณาปัจจัยด้านการใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงแมลงจะทำกำไรต่อตารางเมตรได้สูงถึง 9,300 บาท/ตร.ม. ขณะที่ปศุสัตว์อื่น เช่น ไก่เนื้อ และโคนม สามารถทำกำไรได้ราว 1,500 บาท/ตร.ม ด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น องค์ความรู้ ภูมิอากาศ เทรนด์โลก ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูง

 

ทั้งด้านการผลิตและส่งออกแมลง ซึ่งหากได้รับการผลักดัน และส่งเสริมการบริโภคแมลงในประเทศควบคู่ กับการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจช่วยสร้างรายได้มหาศาลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว จึง อาจเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนระบบอาหารที่ยั่งยืนของไทยและของโลกในอนาคต
 

 

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด การท่าเรือ พบ ทรู แบงค็อก ช้าง เอฟเอ คัพ วันนี้ 21 ธ.ค.68