posttoday

“สารัช” มะขามจี๊ดจ๊าดต้นตำรับ จากแม่สู่ลูก รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 50 ปี

10 พฤษภาคม 2568

แบรนด์ “สารัช” ต้นตำรับมะขามจี๊ดจ๊าด เพชรบูรณ์ ปรับโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี ส่งต่อธุรกิจจากครูหมูสู่รุ่นลูก ลุยตลาดเต็มสูบทั้งไทยและต่างประเทศ

KEY

POINTS

  • แบรนด์มะขามสารัช ต้นตำรับของมะขามจี๊ดจ๊าด ที่เริ่มจากขายในงานวัดเมื่อ 50 ปีก่อน
  • จากไอเดียของ "ครูหมู สุภาลักษณ์ กมลธรไท" ผู้ก่อตั้งนำเอาชื่อของลูกชาย "สารัช กมลธรไท" มาเป็นชื่อแบรนด์ 
  • ผ่านมาเกือบ 50 ปี รีแบรนด์ใหญ่ ทำการตลาด วางเป้ายอดขาย 200 ล้านบาทต่อปี พามะขามเมืองเพชรบูรณ์ไปสู่ตลาดโลก

 

 

 

 

จากเด็กหญิงวัยสิบขวบ ที่ช่วยแม่ขายมะขามในงานวัดเมื่อ 50 ปีก่อน มาถึงวันนี้ “สุภาลักษณ์ กมลธรไท” หรือที่ทุกคนเรียก “ครูหมู” เพราะเคยเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ ได้พามะขามแปรรูปในชื่อแบรนด์ “สารัช” เข้าไปขายในร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ได้สำเร็จ

 

รวมถึงเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนมะขามเมืองเพชรบูรณ์จนได้รับมาตรฐาน GI (Geographical Indications) เป็นการการันตี ว่ามะขามคุณภาพต้องมาจากเพชรบูรณ์ 

 

ย้อนเวลาสู่จุดเริ่มต้นแบรนด์ 

 

หากย้อนเวลาไปดูจุดเริ่มต้นของแบรนด์สารัช ความจริงแล้วเริ่มตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของครูหมู สุภาลักษณ์ เมื่อราวๆ ปี 2520 -2521

 

ครูหมูเล่าความหลังว่า ธุรกิจมะขามเริ่มต้นมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่แล้ว ตั้งแต่สมัยตนเองยังเป็นเด็กวัยสิบขวบต้น ๆ ก็ต้องติดสอยห้อยตามคุณแม่ไปช่วยขายมะขามตามงานวัดในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเพชรบูรณ์

 

การได้คลุกคลีอยู่กับมะขามมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ตนเองซึมซับความรู้และเข้าใจในธรรมชาติของมะขามเป็นอย่างดี แม้ในวันที่เติบโตขึ้น เรียนครูจนจบ และเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ ก็ยังไม่ละทิ้งชีวิตแม่ค้า ยังคงใช้เวลาว่างขายมะขามอยู่เสมอ

 

“สารัช” มะขามจี๊ดจ๊าดต้นตำรับ จากแม่สู่ลูก รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 50 ปี
 

 

จนกระทั่งเกิดไอเดียนำมะขามที่รูปร่างไม่สวยหรือแตก มาแปรรูปเพิ่มมูลค่า โดยการทดลองสูตรคลุกมะขามอยู่หลายครั้ง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง

 

จนวันหนึ่งได้อ่านคอลัมน์เกษตรในหนังสือพิมพ์ ที่เปิดโอกาสให้ผู้อ่านเขียนจดหมายไปถามคำถาม จึงลงมือเขียนไป และได้รับคำตอบกลับมาสี่บรรทัด แต่นั่นก็เพียงพอให้เริ่มต้นทดลองสูตรใหม่ๆ 

 

"เริ่มต้นด้วยการตั้งตู้ขายหน้าบ้าน จนกระทั่งมีแม่ค้าจากต่างถิ่นแวะเวียนมาซื้อมะขาม ทำให้หน้าบ้าน กลายเป็นตลาดขนาดย่อม และในที่สุดก็เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางค้าขายมะขามหวานที่ใหญ่ที่สุดของเพชรบูรณ์ในยุคนั้น ก่อนจะขยับขยายส่งขายไปยังตลาดในกรุงเทพฯ"

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการทำหน้าที่ครูอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

 

ช่วงนั้นลูกชาย (สารัช กมลธรไท) เขายังเป็นเด็กอยู่เลย ตื่นเช้ามาก็จะบังคับเขาว่า ไม่ให้เงินค่าขนมนะ ให้เอามะขามไปขาย ขายได้ถึงจะมีค่าขนมให้ ไปไหนก็จะพาเขาไปด้วย ยังจำได้เลย ภาพที่สามพ่อแม่ลูกนั่งซ้อนมอเตอร์ไซต์ไปขายมะขามเป็นภาพในความทรงจำ ของจุดเริ่มต้น"

แต่เมื่อการค้าขายไปได้ดีจึงลาออกจากครู เพื่อมาโฟกัสธุรกิจจริงจัง 

 

“ช่วงนั้น คนรอบข้าง ญาติๆ ไม่เข้าใจนะ ว่าทำไมเราถึงลาออกจากอาชีพครู ซึ่งสมัยนั้นเป็นอาชีพทรงเกียรติมาก แล้วจู่ๆ ลาออกมาเป็นแม่ค้า คนก็ไม่เข้าใจ แต่เรารู้สึกว่าเราชอบทำธุรกิจ ชอบคิดสูตร มะขามคลุก ก็เลยตัดสินใจ กู้เงินจากธนาคาร มาสร้างโรงงานหนึ่งหลัง และกู้ยืมเงินจากแม่มาเป็นทุนซื้อมะขามเพื่อแปรรูป” 

 

เอาชื่อลูกชายมาตั้งชื่อแบรนด์ 

 

เมื่อทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จึงนำเอาชื่อของลูกชายมาตั้งชื่อแบรนด์ “สารัช” และตั้งบริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ขึ้นมาในปี 2545

 

สินค้าตัวแรกของที่นี่ ได้แก่ มะขามแก้ว ซึ่งครูหมูลองผิดลองถูก เมื่อทำออกมาแล้วปรากฏว่า ขายดี ทำให้ออกสินค้าตัวอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น มะขามคลุก, มะขามกวน, มะขามแช่อิ่ม และมะขามจี๊ดจ๊าด ฯลฯ

 

“สารัช” มะขามจี๊ดจ๊าดต้นตำรับ จากแม่สู่ลูก รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 50 ปี

 

ซึ่งมะขามจี๊ดจ๊าดนี่คือไฮไลท์โปรดักต์ของแบรนด์ก็ว่าได้ เพราะทำออกมาให้คนที่ต้องการความสดชื่น กระปรี้กระเป่า หายง่วง” 

 

เริ่มวางจำหน่ายร้านสะดวกซื้อ จุดเริ่มต้นเติบโต 

 

ปี 2548 ถือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อแบรนด์สารัช  สามารถนำมะขามจี๊ดจ๊าดเข้าไปขายในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ได้สำเร็จ  มะขามสารัชวางขายในร้านค้ากว่า 500 สาขาทั่วภาคเหนือ ก่อนจะขยายสู่ร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ และปี 2559 ได้กําหนดทิศทางองค์กร พัฒนาองค์กร รอบด้าน 

 

เมื่อถามถึงจุดเด่นของแบรนด์สารัชที่ต่างจากคู่แข่ง 

 

ครูหมูบอกว่า ด้วยพื้นฐานครูคณิตศาสตร์ จะมีวิธีคิดเป็นระบบ และใส่ใจในรายละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาดและปลอดภัย

 

 

 

แบรนด์สารัชตอนนี้ใช้ทั้งมะขามเปรี้ยว และหวาน ทั้งจากเพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียง จะเลือกใช้รสเปรี้ยวหวานจากธรรมชาติของมะขาม ไม่ใส่ส่วนผสมแปลกปลอม และมีหลายรสชาติ อย่างจี๊ดจ๊าด มีมากกว่า 10 รสชาติเลย 

 

จากครอบครัวสู่ชุมชน จากแบรนด์สู่เมือง

 

เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์สารัช ไม่ใช่แค่การเป็นแม่ค้าผู้ขยัน แต่ยังรวมถึงการเป็น “ผู้สร้างระบบนิเวศมะขาม” ให้กับเพชรบูรณ์ แบรนด์รับซื้อมะขามทั้งเปรี้ยวและหวานจากภาคเหนือ และอีสาน พร้อมผลักดันให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็น “แปลงใหญ่” จนเกิดเป็นคลัสเตอร์มะขาม

 

“วันนี้เรามี 12-13 กลุ่มในอำเภอหล่มเก่า และพื้นที่อื่น ๆ รวมพื้นที่หลายหมื่นไร่ และถ้านับรวมทั้งจังหวัดก็เกินแสนไร่แล้ว”

 

อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกการผลักดันมะขาม GI รายแรกของเพชรบูรณ์ ทำให้มะขามบ้านเกิดกลายเป็นสินค้ามีคุณค่าระดับประเทศ

 

“การได้รับ GI จากภาครัฐก็ถือเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งซึ่งในฐานะผู้ประกอบการเราก็ต้องคิดนับสองต่อด้วยตัวเอง และการได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคัตเตอร์ของมะขามเพชรบูรณ์ได้นำองค์ความรู้ที่มีอยู่พร้อมประสานหน่วยงานอื่นๆเพื่อยกระดับผลิตผลิตผลมะขามของเพชรบูรณ์จนมีชื่อเสียง”

 

“สารัช” มะขามจี๊ดจ๊าดต้นตำรับ จากแม่สู่ลูก รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 50 ปี

 

แบรนด์ที่เติบโตไปพร้อมลูก

 

การเดินทางของแบรนด์ไม่ได้หยุดที่รุ่นครูหมู เมื่อลูกชายอย่าง “สารัช” เรียนจบ ก็ได้เข้ามารับช่วง

 

“ถ้าเปรียบแบรนด์เป็นคน สารัชคงเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ที่ต้องรีเฟรชตัวเองให้ทันยุค” สารัช กล่าว 

 

เขาบอกว่า เขาเข้ามาดูแลเรื่องภาพลักษณ์ และการตลาดของแบรนด์ ซึ่งเขาตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า แบรนด์ต้องเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในทุกเจนเนอเรชั่น ที่ผ่านมาสารัช มาร์เก็ตติ้ง เติบโตขึ้นถึง 10-20% และจำหน่ายสินค้าได้มากถึง 7 ล้านชิ้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ด้วยกำลังการผลิต 600,000-800,000 ชิ้นต่อเดือน

 

แบ่งสัดส่วนยอดขายในประเทศ 80% ตลาดต่างประเทศ 20% ส่งออกไปออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และยุโรปบางประเทศ นอกจากนี้ยังรับผลิตในรูปแบบ OEM ให้กับนักลงทุนที่สนใจ 

 

ปีที่ผ่าน ๆ มา สารัชไม่เคยทำการตลาดเลย จึงไม่แปลกที่คนจะสับสนกับแบรนด์อื่น ๆ แม้ว่าคนจะรู้จักผลิตภัณฑ์ แต่ไม่มีคนรู้จักแบรนด์เรา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องลุกทำตลาด และรีเฟรชแบรนด์ใหม่อีกครั้ง” 

 

ยกระดับมะขามไทยสู่ตลาดโลก แบรนด์ "สารัช" เดินหน้าการตลาดเต็มสูบ

 

สารัช เปิดเผยว่า กลยุทธ์การเติบโตของแบรนด์ในปีนี้ มุ่งตอบโจทย์ เทรนด์การบริโภค ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยบริษัทได้ลงทุนอย่างจริงจังในกิจกรรมการตลาดและการขาย เพื่อรีเฟรชแบรนด์ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมสินค้าแปรรูปจากมะขามกว่า 10 รายการ ที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ในรสชาติและรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาทั้งความแปลกใหม่ อร่อย และทานง่าย

 

ในด้านการสื่อสารการตลาด บริษัทเดินหน้าแคมเปญย้ำภาพลักษณ์ความเป็น “ต้นตำรับมะขามจี๊ดจ๊าด” ผ่านการโปรโมตทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การจัดบูธกิจกรรมเพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสรสชาติเปรี้ยวจี๊ดถึงใจของมะขามสารัช

 

“สารัช” มะขามจี๊ดจ๊าดต้นตำรับ จากแม่สู่ลูก รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 50 ปี

ที่ผ่านมา แบรนด์สารัชเน้นจำหน่ายในช่องทางร้านสะดวกซื้อเป็นหลัก แต่ปัจจุบันเมื่อกำลังการผลิตและการจัดการดีขึ้น บริษัทจึงเริ่มทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายสู่ไฮเปอร์มาร์เก็ต การใช้กลยุทธ์แบบออฟไลน์-ออนไลน์ควบคู่กัน ไปจนถึงการสร้างแคมเปญใหม่ๆ ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง

 

หนึ่งในแคมเปญล่าสุดคือ “มะขามสารัชยืนหนึ่ง” ที่ใช้รถตุ๊กตุ๊กวิ่งรอบกรุงเทพฯ โดยเฉพาะบริเวณเซ็นทรัลเวิลด์และถนนราชดำริ กว่า 20 คัน พร้อมทีมงานออกบูธและแจกสินค้าตามจุดต่างๆ และไฮไลต์อยู่ที่การใช้ “คุณแม่” เป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคผ่านภาพลักษณ์อบอุ่นและจริงใจ

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของสารัช ตั้งเป้าการเติบโตในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30% ทำยอดขายให้ได้ 200 ล้านบาทต่อปี ปรับปรุงโรงงานให้รองรับ ทุกตลาดในต่างประเทศ

 

“สารัช” มะขามจี๊ดจ๊าดต้นตำรับ จากแม่สู่ลูก รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 50 ปี

 

ความสำเร็จของสารัชไม่ได้มาจากสูตรหรือบรรจุภัณฑ์เท่านั้น แต่เกิดจากความร่วมมือกับชุมชน การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย และการใช้เทคโนโลยีแปรรูปที่คงคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนการสร้างความหลากหลายของสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาด”

 

พามะขามเพชรบูรณ์สู่ตลาดโลก

 

แม้เป้าหมายของบริษัทจะไม่ใช่เพียงยอดขายหรือกำไรสูงสุด แต่สารัช มองว่าความภูมิใจที่แท้จริง คือการได้ส่งสินค้าจากบ้านเกิดออกสู่ตลาดโลก และสร้างอาชีพให้คนในชุมชน

 

ตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา เราสร้างงานให้หลายพันครอบครัว มีซัพพลายเออร์กระจายอยู่ในเพชรบูรณ์ แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ และนครนายก เราทำงานกับเกษตรกรนับหมื่นราย ผ่านระบบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโต

 

“แน่นอนว่าเราก็ต้องการยอดขาย แต่สิ่งที่เราภูมิใจที่สุดคือการได้เป็นแบรนด์ของคนเพชรบูรณ์ และนำชื่อเสียงของบ้านเกิดไปไกล เราอยากให้รายได้จากธุรกิจย้อนกลับมาพัฒนาชุมชน สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น พร้อมกับทำให้เพชรบูรณ์เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งมะขามคุณภาพของไทย” สารัชกล่าวทิ้งท้าย