posttoday

เก็บ VAT ธุรกิจรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านต่อปี เป็นการสกัด SME ไม่ให้โต?

07 พฤษภาคม 2568

จากกรณีคลังส่งสัญญาณเก็บภาษี ธุรกิจรายย่อยที่รายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี อาจารย์จุฬาฯ เผย 3 ข้อสังเกตจากงานวิจัย ชี้ชัดธุรกิจบางรายอาจจงใจหยุดโตเพื่อเลี่ยง VAT

จากกรณีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังส่งสัญญาณว่า เตรียมเพิ่มช่องทางจัดเก็บรายได้ใหม่ของรัฐบาล ผ่านการเก็บ VAT ผู้ประกอบการที่มีรายได้ “ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี”

 

หวังโกยรายได้เข้ารัฐ 2 แสนล้านบาทต่อปี และลดการขาดดุลทางการคลัง หลังรายได้รัฐบาลต่อ GDP ของไทยลดลงต่อเนื่อง เหลือ 13% ต่อ GDP ในปัจจุบันจาก เคยถึง 17% ต่อ GDP ในอดีต

 

ล่าสุด รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ออกมาเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาขยายฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้ครอบคลุมธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยมองว่าจะช่วยลดธุรกิจนอกระบบและเพิ่มรายได้เข้ารัฐ 

หลักคิดเรื่อง "การขยายฐานภาษี" เป็นทิศทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมุ่งให้ระบบภาษีเป็นธรรมมากขึ้น แต่คำถามสำคัญคือ

 

เราเข้าใจบทบาทของเกณฑ์ VAT ต่อแรงจูงใจและพฤติกรรมของธุรกิจเล็กมากน้อยแค่ไหน

 

ในฐานะนักวิจัยที่ศึกษาพฤติกรรมธุรกิจขนาดเล็กและระบบภาษีไทย ขอฝากข้อสังเกต 3 ข้อเผื่อจะเป็นประโยชน์

 

1.พฤติกรรมการหลีกเลี่ยง 1.8 ล้าน และผลกระทบต่อการเติบโต

 

งานวิจัยของพบว่าธุรกิจไทยมี "พฤติกรรมกองตัว" (bunching) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับรายรับก่อนถึง 1.8 ล้านบาทเล็กน้อย 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนการตั้งใจหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบ VAT ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ งานวิจัยพบว่าธุรกิจจำนวนมากจงใจ "หยุดการเติบโต" เมื่อรายได้เข้าใกล้ 1.8 ล้านบาท และพยายามรักษารายได้ให้อยู่ในระดับเดิมหลายปีติดต่อกัน

ส่งผลให้ระบบภาษีกลายเป็น “ข้อจำกัดในการเติบโต” แทนที่จะเป็นกลไกสนับสนุนธุรกิจ

 

2.ต้นทุนการปฏิบัติตามกฎ VAT สูงเกินรับไหวสำหรับธุรกิจเล็ก 

 

การเข้าระบบ VAT ไม่ได้แปลว่าแค่ “จ่ายภาษี” แต่หมายถึงภาระการปฏิบัติตามกฎระเบียบจำนวนมาก ทั้งการออกใบกำกับภาษีให้ถูกต้อง ทำบัญชีให้ได้มาตรฐาน ยื่นแบบรายเดือน เตรียมเอกสารพร้อมตรวจสอบ

 

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีฝ่ายบัญชีเป็นเรื่องเป็นราว นี่คือภาระที่ “เปลี่ยนเกม” ไปเลย ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยยังพบว่าหากธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ที่คู่แข่งจำนวนมากอยู่นอกระบบ (VAT informality สูง) การเสียภาษีกลายเป็นต้นทุนที่ทำให้แข่งขันไม่ได้ เพราะแข่งขันยากเมื่อต้องเก็บ VAT จากลูกค้า

 

3. กฎระเบียบ VAT แบบ “One Size Fits All” เหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยหรือไม่  

 

คุณลักษณะสำคัญของระบบ VAT ไทยคือการใช้กฎเกณฑ์แบบเดียวกันกับทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะมีรายได้ 2 ล้านหรือ 200 ล้านบาท ทุกธุรกิจต้องปฏิบัติตามกฎ vat แบบเดียวกัน ซึ่งข้อดีคือ เราได้ระบบภาษีที่เรียบง่ายและชัดเจน

 

แต่ “ความเท่าเทียม” แบบนี้อาจไม่เป็นธรรมกับธุรกิจเล็กที่ไม่มีทรัพยากรหรือบุคลากรเพียงพอในการจัดการภาระทางภาษีที่ซับซ้อน เปรียบเสมือนให้เด็กและผู้ใหญ่แบกกระเป๋าหนักเท่ากัน

 

หลายประเทศที่ต้องการขยายฐานภาษีไปที่ธุรกิจขนาดเล็ก มีการสร้างระบบ simplified VAT โดยเฉพาะ เช่น

 

  • ลดความถี่การยื่นแบบเป็นรายไตรมาสหรือรายปี (แทนรายเดือนแบบปัจจุบันของไทย)
  • ทำระบบเครดิตภาษีซื้อให้ง่ายขึ้น หรือใช้อัตราเหมา (Flat rate)
  • ลดความซับซ้อนของเอกสารที่ต้องจัดทำ

 

ทั้งหมดนี้ช่วยให้การเข้าระบบ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สำหรับรายย่อย

 

 

มองภาพใหญ่ของระบบ VAT ไทย

 

VAT คือแหล่งรายได้หลักของรัฐ คิดเป็นราว 30% ของรายได้ภาษีทั้งหมดในปัจจุบัน แต่ก็กลายเป็น “เพดาน” ที่ทำให้ธุรกิจเล็กจำนวนมาก “ไม่กล้าโต” เพราะกลัวข้ามเส้น 1.8 ล้านบาท หากยากให้ระบบภาษีมีทั้งประสิทธิภาพและความเป็นธรรม เราจำเป็นต้องแก้จุดนี้

 

การขยายฐานภาษีเป็นสิ่งจำเป็น แต่โจทย์ท้าทายคือ ทำอย่างไรให้การขยายฐานภาษี “ไม่บั่นทอนแรงจูงใจในการเติบโต” และ “ไม่ผลักให้ธุรกิจหลบซ่อนมากขึ้น”

 

คำตอบอาจไม่ใช่แค่การเก็บ VAT จากธุรกิจเล็กในอัตราที่ต่ำ แต่อยู่ที่การลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบ เพื่อให้การเข้าระบบ VAT เป็นเรื่องที่ “คุ้ม” และ “เป็นไปได้” สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย

ข่าวล่าสุด

ไทยรั้งอันดับ 2 โลก ธุรกิจเผชิญวิกฤตข้อมูลบิดเบือนคุกคามความมั่นคง