การตลาดใหม่ "สุกี้ตี๋น้อย" กินก่อนค่อยจ่าย เพิ่มทางเลือกลูกค้า
กลยุทธ์การตลาดแบบใหม่ของ “สุกี้ตี๋น้อย” เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า จ่ายผ่าน ShopeePay หรือ SPayLater กินก่อนค่อยจ่าย สอดรับเทรนด์คนรุ่นใหม่ ชอบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง
เทรนด์ "Buy Now Pay Later" หรือ “การซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” เป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Gen Y ที่ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ตั้งแต่การท่องเที่ยว ค่าเครื่องบิน ค่าโรงแรมในรูปแบบผ่อนชำระรายเดือน หรือแม้แต่การช้อปปิ้งออนไลน์ก็ตาม
ตลอดจนตอนนี้มาถึงยุคของ “กินก่อนจ่ายทีหลัง” แล้ว เพราะล่าสุด “สุกี้ตี๋น้อย” ได้ประกาศว่า
“ตอนนี้สุกี้ตี๋น้อยทุกสาขา รองรับการชำระเงินผ่าน ShopeePay และ SPayLater แล้วเพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการให้แก่ลูกค้าทุกท่าน”
สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์แบ่งจ่าย หรือจ่ายทีหลัง กำลังเป็นที่นิยม
สำหรับ ShopeePay คือกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ E-Wallet บน Shopee ช่วยให้การชำระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องพกเงินสด หรือผ่านระบบธนาคารให้ยุ่งยาก
สามารถใช้ ShopeePay ในการชำระเงินได้ทั้งในออนไลน์ผ่านการตัดเงินอัตโนมัติ หรือใช้ชำระเงินหน้าร้านค้าผ่านการสแกน QR Code ก็ได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ใช้จ่ายได้อย่างไร้รอยต่อ แค่มีโทรศัพท์เครื่องเดียวก็จับจ่ายใช้สอยได้ตามใจ
ส่วน SPayLater เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้จ่าย หรือผู้ที่ต้องการผ่อนสินค้ากับ Shopee โดยเฉพาะ การใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน ครอบคลุมหลากหลายสินค้าตั้งแต่ของใช้ แฟชั่น ตลอดจนบริการคลินิกบางรายการ หรือแม้แต่อาหาร
สำหรับสุกี้ตี๋น้อย จะเห็นว่าที่ผ่านมา มีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง “โพสต์ทูเดย์” สรุปกลยุทธ์ของสุกี้ตี๋น้อย ดังนี้
สุกี้ตี๋น้อย เกิดจาก เฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจวนิช แม่ทัพบริษัท บี เอ็น บี เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ได้ปลุกปั้นแบรนด์และธุรกิจขึ้นมา สร้างการเติบโตอย่างรวดเร็วทำรายได้แก่อาณาจักร จนขึ้นทำเนียบ “อายุน้อยพันล้าน” และถูกหมายตาจากบิ๊กคอร์ปมาซื้อหุ้น ต่อยอดการเติบโต
เฟิร์น ตั้งเป้าหมายตั้งแต่เริ่มธุรกิจ คือ อยากทำตลาดแมส อยากขยายสาขาได้ทั่วประเทศ ดังนั้น ราคาต้องเข้าถึงทุกคนได้ และเชื่อว่าราคา 199 คือใช่สำหรับทุกคน
สุกี้ตี๋น้อยมีกลยุทธ์ก็คือเรื่องของการบริการ พนักงานผ่านการเทรนมาอย่างดี ทำที่นั่งใหญ่ เยอะ แอร์เย็น มีที่จอดรถรองรับ ในส่วนของอาหาร เฟิร์นเลือกที่จะให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อออสเตรเลีย ชีส หอยแมลงภู่ ซึ่งเป็นเจ้าแรก ๆ ที่เอาอาหารใหม่ ๆ มาใส่ให้ลูกค้า ไม่เพียงเท่านั้นยังใช้กลยุทธ์เปิดตั้งแต่ 11 โมง จนถึงตีห้า
แกะสูตรโตของ สุกี้ตี๋น้อย
การขยายสาขา คือหนึ่งในหมากสำคัญของธุรกิจร้านอาหาร ในปี 2567 ที่ผ่านมาสุกี้ตี๋น้อย ก็เดินเกมนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดร้านใหม่ถึง 23 แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีทั้งหมด 78 สาขาทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม การเติบโตจากโมเดลร้านสุกี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป “ตี๋น้อย” จึงขยายธุรกิจไปสู่ร้านอาหารประเภทใหม่ เช่น บุฟเฟต์ปิ้งย่าง “Teenoi BBQ” ที่เปิดให้บริการที่ Jas Green Village คู้บอน และบุฟเฟต์พรีเมียม “Teenoi Express” อีกหนึ่งสาขา
จากจุดเริ่มต้นในกรุงเทพฯ สุกี้ตี๋น้อยยังรุกตลาดต่างจังหวัดอย่างจริงจัง เช่น ชลบุรี ระยอง สุพรรณบุรี มหาสารคาม อุดรธานี และเชียงใหม่ โดยยังคงจุดขายเดิมคือ “ชาบูราคาคุ้มค่า” ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้ในวงกว้าง
ขณะเดียวกัน แบรนด์ยังขยายไลน์ธุรกิจเข้าสู่อาหารพร้อมปรุง (Ready-to-Cook: RTC) เปิดตัวชุดผักสุกี้ ตี๋น้อย ราคา 99 บาท และ ชุดผักสุกี้หม่าล่า ราคา 129 บาท วางจำหน่ายเฉพาะในโมเดิร์นเทรดอย่างแม็คโครและโลตัส เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่อยากทานสุกี้ตี๋น้อย แต่ไม่สะดวกเดินทางไปยังหน้าร้าน
การรุกเข้าสู่ตลาดอาหารพร้อมปรุงนี้ สะท้อนถึงกลยุทธ์การมองหา โอกาสใหม่ และเดินตามรอยผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารอย่างชัดเจน
ปี’67 กำไรพันล้าน
ในแง่ผลประกอบการ ปี 2567 ผลกำไรประจำปี 2567 กวาดตัวเลขไปมากถึง 1,169 ล้านบาทนับเป็นครั้งแรกที่กำไรสุทธิแตะหลักพันล้านบาท โดยข้อมูลนี้ปรากฏในรายงานของบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้น 30% ของสุกี้ตี๋น้อย (จากการลงทุน 1,200 ล้านบาทเมื่อปลายปี 2565) ซึ่งได้รับส่วนแบ่งกำไรจากสุกี้ตี๋น้อยในปี 2567 ถึง 350.7 ล้านบาท
ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อย้อนกลับไปดูเส้นทางธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวมาเพียง 6 ปี จะพบว่ามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างแท้จริงจากรายได้ 499 ล้านบาทในปี 2562 สู่ 5,244 ล้านบาทในปี 2566 และจากกำไร 15 ล้านบาท ทะยานสู่ 913 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สุกี้ตี๋น้อยมีร้านในเครือรวม 80 แห่ง แบ่งเป็นร้านสุกี้ 78 สาขา ร้านปิ้งย่าง Teenoi BBQ 1 สาขา และร้านพรีเมียมบุฟเฟต์ Teenoi Express อีก 1 สาขา
สะท้อนความมุ่งมั่นในการขยายตัวและสร้างความหลากหลายของแบรนด์อาหารที่กำลังเป็นที่จับตามองที่สุดแบรนด์หนึ่งของไทย


