“แรงงานหด-ผู้สูงวัยเพิ่ม" เมกะเทรนด์ที่จะพลิกโฉมธุรกิจโลกในอนาคต
ส่องเมกะเทรนด์ที่จะพลิกโฉมเศรษฐกิจโลกในปี 2025 "การหดตัวของแรงงาน-การเพิ่มขึ้นของผู้สูงวัย" ธุรกิจที่สามารถมองเห็นเมกะเทรนด์เหล่านี้และปรับตัวให้ทันจะมีโอกาสเติบโตและอยู่รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในห้วงเวลาที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ก่อตัวขึ้น เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ล้วนหมุนไปตามกระแสของ "Mega Trends" กระแสขับเคลื่อนที่กำหนดทิศทางอนาคตของมวลมนุษยชาติ
ลองจินตนาการถึงโลกที่ธุรกิจไม่ได้แข่งขันกันเพียงแค่สินค้าและบริการ แต่เป็นการแข่งขันกันปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค ใครก็ตามที่มองเห็นโอกาสก่อน ย่อมคว้าเส้นทางสู่ความสำเร็จได้ก่อน
และนี่คือ 5 Mega Trends ที่จะพลิกโฉมเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ตามรายงานของ McKinsey Global Institute หน่วยงานวิจัยของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำอย่าง
1.Digital Transformation เมื่อเทคโนโลยีกำหนดชะตาธุรกิจ
การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่เป็นมากกว่าแค่การนำเอาเทคโนโลยีพื้นฐานมาใช้ โดย IDC (International Data Corporation) ได้คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายทั่วโลกในเทคโนโลยีที่สนับสนุน AI จะสูงถึง 337 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025
ทั้งยังได้เผยแพร่การคาดการณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและ AI ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยเน้นถึงความสำคัญของ AI ในการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น การใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและการตัดสินใจเชิงธุรกิจ
2.Aging Society เมื่อสังคมก้าวสู่ยุคสูงวัย
การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำนวนประชากรสูงอายุมากขึ้น เนื่องจากอัตราการเกิดมีแนวโน้มลดลง ยืนยันได้จากเอกสารข้อมูลประชากรโลก ฉบับปี 2024 ที่เผยว่าปัจจุบัน โลกมีประชากรราว 8 พันล้านคน ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้เมื่อปีก่อน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
- แรงงานในตลาดลดลง และบริษัทต้องปรับตัวด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติหรือ AI เพื่อชดเชยกำลังแรงงานที่หายไป
- คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเกษียณช้ากว่าคนรุ่นก่อน เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและอายุขัยที่ยาวขึ้น ส่งผลให้ระบบบำนาญและกองทุนการออมต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสมกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป
- อุตสาหกรรม Healthcare และ Senior Care เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ความต้องการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม หุ่นยนต์ช่วยเหลือ ระบบสั่งการด้วยเสียง และอุปกรณ์สมาร์ตโฮมที่ใช้งานง่าย
โลกของเรากำลังเปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น ขณะที่แรงงานวัยหนุ่มสาวลดลง อุตสาหกรรมต้องเร่งปรับตัว ธุรกิจด้านสุขภาพ เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้สูงวัย และบริการดูแลระยะยาวกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะในโลกอนาคต ผู้สูงวัยไม่ใช่ภาระ แต่เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่
3.Sustainability and Climate Change เมื่อธุรกิจต้องตอบแทนโลก
กระแสน้ำที่เคยใสสะอาดวันนี้กลับเต็มไปด้วยมลพิษ คลื่นความร้อนพุ่งสูงจนกลายเป็นภัยพิบัติ และผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามกับแบรนด์ที่ยังคงทำลายสิ่งแวดล้อม โลกธุรกิจจะเดินหน้าอย่างไรหากไม่มีทรัพยากรเหลือให้ใช้?
แนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนและผู้บริโภคให้ความสนใจ ธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแต่สร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว พลังงานหมุนเวียน เศรษฐกิจหมุนเวียน และเทคโนโลยีลดคาร์บอน กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของโลกอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ อนาคตอาจมีการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี Carbon Capture เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อลดของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร
4.Health and Wellness สุขภาพที่ดีคือสินทรัพย์ที่แท้จริง
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผู้คนได้หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจมากขึ้น
ผลการวิจัยจาก Grand View Research จึงคาดการณ์ว่าตลาด Digital Health จะมีมูลค่าถึง 946.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 21.9% ระหว่างปี 2024 ถึง 2030 ในอุตสาหกรรมต่อไปนี้
- ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม และโปรตีนจากพืช (Plant-based protein)
- เทคโนโลยีด้านสุขภาพ เช่น Telemedicine, Wearable Devices และ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ
- ฟิตเนสและกิจกรรมทางกาย เช่น การออกกำลังกายแบบเวอร์ชวล (Virtual Workout) และแอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ
- บริการด้านจิตวิทยาและแอปพลิเคชันช่วยฝึกสติ
5.Future of Work เมื่อการทำงานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ผลสำรวจจาก Gartner คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 พนักงาน 48% จะทำงานจากระยะไกล (Remote Work) เพิ่มขึ้นจาก 30% ก่อนช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้การทำงานจากระยะไกลเป็นไปได้มากขึ้น
ความคาดหวังของพนักงานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน และการปรับตัวขององค์กรต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ Gartner ยังได้ระบุแนวโน้มสำคัญที่กำหนดอนาคตของการทำงานในปี 2025 ได้แก่
- การเกษียณอายุของพนักงานที่มีประสบการณ์และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้เกิดช่องว่างความเชี่ยวชาญในองค์กร
- การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
- การใช้เครื่องมือ AI เพื่อปรับปรุงการสื่อสารและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ธุรกิจที่มองเห็นอนาคต คือธุรกิจที่อยู่รอด
อย่างไรก็ตาม Mega Trends ไม่ใช่เพียงทฤษฎีที่อ่านแล้ววางลง แต่มันคือเข็มทิศที่ชี้นำทิศทางของโลกในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า ธุรกิจที่เข้าใจและปรับตัวได้ทัน ย่อมเป็นผู้ที่อยู่รอดและเติบโตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง อนาคตกำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว คำถามคือ คุณพร้อมหรือยังที่จะก้าวไป
ที่มาข้อมูล Bangkok Bank ,McKinsey Global Institute


