posttoday

Low Buy-No buy ใช้จ่ายอย่างมีสติ อีกเทรนด์ที่ธุรกิจต้องเตรียมรับมือ

28 กุมภาพันธ์ 2568

เทรนด์การใช้จ่ายแบบ “Low Buy” และ “No Buy” มาแรงในต่างประเทศ สัญญาณบ่งบอกถึงพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ที่ธุรกิจต่างๆ ควรทำความเข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์เหล่านี้

เทรนด์การใช้จ่ายแบบ “Low Buy” และ “No Buy” มาแรงในต่างประเทศมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้จ่ายอย่างมีสติ 

 

แนวคิดนี้มาจากกลุ่มครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์ อเมริกันที่ชวนกันออกมาทำ แคมเปญ "No Buy 2025, Low Buy Year" จุดกระแสเลิกซื้อของฟุ่มเฟือย พร้อมกับ "Project Pan" ใช้เครื่องสำอางให้หมดจนหยดสุดท้าย ซึ่งแคมเปญนี้ทำให้หลายคนนำไปปฏิบัติตาม 

 

ขณะที่ก่อนหน้านี้มีอีกเทรนด์ที่เรียกว่า YONO ซึ่งย่อมาจาก You Only Need One แนวคิดที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ในเกาหลีใต้ ที่หันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินของตัวเอง วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย ลดรายจ่าย หรือหันมาใช้เงินเฉพาะกับสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น เป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และอัตราการเติบโตของรายได้ต่ำในปี 2024 

Low Buy VS No Buy 

 

สำหรับ Low Buy คือการตั้งเป้าหมายลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่น จำกัดการซื้อกาแฟ, ไม่ใช้แอปสั่งอาหาร, ลดการใช้บริการสตรีมมิ่ง หรือเลือกใช้บริการฟรีแทน โดยยังคงซื้อของที่จำเป็นอยู่

 

ส่วน No Buy คือการงดซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งปี โดยจะอนุญาตให้ซื้อเฉพาะของจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เช่น ค่าเช่าบ้าน, อาหาร, ค่าเดินทาง, ค่ารักษาพยาบาล 

 

เทรนด์นี้ทำไมได้รับความนิยม?

ค่าครองชีพสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อทำให้ผู้คนต้องรัดเข็มขัดและควบคุมค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งยังเป็นแนวทางลดความเครียดทางการเงิน เพราะการใช้จ่ายเกินตัวนำไปสู่หนี้สินและความวิตกกังวล ดังนั้นการจำกัดการซื้อจึงช่วยลดภาระทางจิตใจ การใช้จ่ายอย่างมีสติช่วยให้รู้สึกพึงพอใจกับตัวเองมากขึ้น

และที่สำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นการต่อต้านการตลาดกระตุ้นการซื้อ มีหลายคนเริ่มตั้งคำถามกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่กระตุ้นให้ซื้อของโดยไม่จำเป็น และต้องการออกจากวงจรการบริโภค

และอิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย ครีเอเตอร์หลายคนแบ่งปันเรื่องราวการลดใช้จ่าย 

 

เช่นเดียวกับไทย คนเมืองชะลอใช้จ่าย 

สอดคล้องกับสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) หรือ Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN (THAILAND) เผยผลสำรวจฉบับแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ประจำปี พ.ศ. 2568 ว่า

 

แนวโน้มความต้องการในการใช้จ่ายลดลง -1 เมื่อเทียบกับผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา คนเมืองชะลอการใช้จ่าย ส่งผลให้ยอดใช้จ่ายในกรุงเทพฯ และภาคกลางลดลง 4% เนื่องจากไม่มีอีเว้นท์เฉลิมฉลองเหมือนช่วงปลายปี

 

ประกอบกับข่าวเลย์ออฟพนักงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้พนักงานออฟฟิศเริ่มออมเงินฉุกเฉินมากขึ้นและลดการใช้จ่ายลง ซึ่งก็สอดคล้องกับผู้ทำผลสำรวจในทุก ๆ ภูมิภาคที่มีความเห็นไปทางเดียวกันว่า ยังไม่ต้องการใช้จ่าย มุ่งมั่นเก็บออมไว้เพื่ออนาคต

 

ถึงแม้ว่าผลสำรวจฉบับนี้จะเผยให้เห็นว่า คะแนนความสุขของคนไทย -1% เมื่อเทียบกับผลสำรวจเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่คนไทยก็ยังคงมองหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเติมเต็มหัวใจ ใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ชอบมากกว่า เช่น Gen Z ไม่ซื้อของ แต่ชอบใช้เงินกับคอนเสิร์ต ความบันเทิง ฯลฯ 

 

ผลกระทบต่อธุรกิจ

ด้านลบ อาจทำให้ยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง แบรนด์ที่พึ่งพาการตลาดแบบกระตุ้นการซื้ออาจได้รับผลกระทบ เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ลูกค้าให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและความยั่งยืนมากขึ้น

ด้านบวกและโอกาสทางธุรกิจ ธุรกิจที่เน้นความคุ้มค่าและความยั่งยืนเติบโต สินค้าคุณภาพดี ใช้ได้นาน จะได้รับความสนใจมากขึ้น

ตลาดสินค้ามือสองและบริการเช่าสินค้าโตขึ้น แพลตฟอร์มรีเซล และร้านค้าเช่าสินค้าได้รับความนิยม แม้แต่ธุรกิจซ่อมแซมสินค้าบูม ผู้บริโภคเริ่มซ่อมเสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ แทนการซื้อใหม่

 

ธุรกิจควรปรับตัวอย่างไร?

  • โฟกัสสินค้าที่มีคุณค่าและยั่งยืน เพิ่มทางเลือกสินค้าคุณภาพสูงที่ใช้ได้นาน
  • ทำการตลาดแบบจริงใจ เน้นความคุ้มค่าและประโยชน์ของสินค้า แทนการเร่งเร้าให้ซื้อ
  • ขยายไปสู่ตลาดรีเซลและบริการเช่า-ปรับโมเดลธุรกิจให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการลดการซื้อของใหม่

 

อย่างไรก็ตาม เทรนด์ Low Buy และ No Buy นับเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ธุรกิจต้องจับตา แม้จะส่งผลกระทบต่อยอดขายในบางอุตสาหกรรม แต่ก็เปิดโอกาสให้ธุรกิจที่ปรับตัวได้เติบโต

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ วูล์ฟ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68