กรมโรงงานฯ เผยยอดโรงงานเปิดใหม่สูงกว่ายอดปิด เงินลงทุน 1.67 แสนล้าน
อธิบดีกรมโรงงานฯ เผย โรงงานเปิดใหม่ 7 เดือนแรก 1,260 โรง มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 167,691 ล้านบาท -จ้างงานเพิ่มขึ้น 25,663 คน ขณะที่สภาพัฒน์ฯ ร้อง 3 ข้อยกระดับ SME เสริมสภาพคล่องด้วยเงินทุน พัฒนาสู่ตลาดออนไลน์ และเข้มงวดสินค้านำเข้าไม่ได้คุณภาพ
นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สถิติการปิดโรงงาน (เลิกประกอบกิจการ) ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 1,254 โรง ในขณะที่มีการเปิดโรงงานใหม่ (รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบแล้ว) เฉลี่ยปีละ 2,360 โรง คิดเป็นอัตราส่วนเฉลี่ยร้อยละ 53 หากคิดรายปี พบว่า ตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2566 อัตราส่วนการเลิกประกอบกิจการเท่ากับร้อยละ 69 ร้อยละ 36 ร้อยละ 28 ร้อยละ 52 และร้อยละ 84 ตามลำดับ
ในปี 2567 ตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 31 ก.ค.2567 พบว่า มีโรงงานเลิกประกอบกิจการ จำนวน 667 โรง และมีโรงงานเปิดใหม่ แจ้งประกอบกิจการแล้ว จำนวน 1,260 โรง คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 54 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
เมื่อหักลบโรงงานที่ปิดตัวลง ใน 7 เดือนแรกของปีนี้ จากยอดโรงงานใหม่ มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 167,691 ล้านบาท และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 25,663 คน
ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ว่า แม้การเปิดโรงงานใหม่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การปิดโรงงานก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะการปิดตัวเพิ่มขึ้นของโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีภูมิคุ้มกันที่ไม่สูงนักในการเผชิญหน้ากับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจ ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว ภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการไทยกลุ่มนี้ โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญในส่วนดังนี้
1. การยกระดับการผลิตและการดำเนินธุรกิจเช่น การให้ความช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง การสนับสนุนด้านองค์ความรู้ในเรื่องของการจัดการ การดำเนินธุรกิจและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจทั้งในระดับแนวราบหรือเครือข่ายธุรกิจที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
รวมทั้งการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจทั้งในระดับแนวลึกหรือเครือข่ายธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับธุรกิจหรือผู้ประกอบการขนาดใหญ่เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำพาตนเองให้เข้าไปสู่ระบบห่วงโซ่การผลิตขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ เป็นต้น
2. การส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงช่องทางการตลาดสมัยใหม่ โดยเฉพาะช่องทางการตลาดที่ใช้เทคโนโลยีออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่เน้นการกระตุ้นอุปสงค์ผ่านเทคนิคการใช้ Influencer ในการทำตลาดและเทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้า
3. การติดตามดูแลปัจจัยเสี่ยงที่อาจเข้ามากระทบกับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ทั้งในส่วนของการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐานที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ ควบคู่กับการดูแลและบริหารจัดการกลไกราคาสินค้าที่เป็นธรรมกับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
รวมทั้งการพัฒนา/ปรับปรุงกลไกหรือกฎระเบียบที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญทั้งในส่วนของเทคโนโลยีและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการ SME ผ่านการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างเอกลักษณ์ของสินค้า ให้ตรงตามความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
รวมไปถึงการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SME สามารถอยู่รอดและสามารถพัฒนาต่อยอดธุรกิจได้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสำคัญครั้งนี้ได้อย่างมั่นคง


