จิสด้า - ดีพร้อม ดัน SME –Startup บุกธุรกิจอวกาศมูลค่า 5.6 หมื่นล้านบาทต่อปี
เผยประเทศไทยมีธุรกิจต่อยอดจากการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอวกาศ มากกว่า 35,600 กิจการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาทต่อปี เร่งเพิ่มโอกาสผู้ประกอบการ พัฒนาขีดความสามารถ เข้าสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า กระทรวงอว.โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้ร่วมมือกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ยกระดับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอวกาศ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการในการพัฒนาขีดความสามารถ ทั้ง SME และ Startup รุ่นใหม่ให้เข้าสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ รวมทั้งอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ซึ่งกลุ่มดังกล่าวเป็นฟันเฟืองสำคัญหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคตที่ยั่งยืนภายใต้เป้าหมาย Ignite Thailand
ทั้งนี้ กระทรวงอว. ตั้งเป้าขยายผลการใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาต่อยอดการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม จึงให้ความสำคัญในการส่งเสริม การสร้างและสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน Startup SME และบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเพื่อก้าวสู่ภารกิจด้านกิจการอวกาศของไทย โดยได้มอบหมายให้ GISTDA เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรมจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และเพื่อขยายระบบโครงสร้างอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ โดยหน่วยงานรัฐและเอกชนทุกภาคส่วนจะมีโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งจะผลักดันให้ไทยเข้าสู่ Global Value Chain ด้านอวกาศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นอย่างมาก โดยระบุว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามองว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาคทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ธุรกิจนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้สำคัญด้านการท่องเที่ยว แต่ยังเป็นระบบคมนาคมที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ สร้างงาน เชื่อมโยง และดึงดูดการค้าการลงทุนที่มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยังมีความโดดเด่นในการผสมผสานเทคโนโลยีระหว่างอุตสาหกรรมต่างสาขา และยังมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างโอกาสการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจอวกาศ ให้กับผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Startup หรือ SMEs โดยจะให้ความสำคัญในการเร่งผลักดันให้มีการพัฒนาเพื่อให้เกิดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ และขยายผลไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยสร้างความสามารถ ผลักดัน ส่งเสริมและขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยให้สามารถเข้าสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ในหลากหลายมิติ
นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวเพิ่มเติมว่า GISTDA มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ ด้วยการสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ซึ่งปัจจุบันได้ได้นำมาประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น การลงนามครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ GISTDA จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและผลักดันการใช้ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
มูลค่าเศรษฐกิจอวกาศทั่วโลกมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 8.1 มูลค่าสูงราว 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกที่มีมูลค่าสูงกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากการศึกษาวิเคราะห์ของ GISTDA พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจที่ต่อยอดจากการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอวกาศ มากกว่า 35,600 กิจการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาทต่อปี
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ โดยใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาต่อยอดในการดำเนินธุรกิจในมิติต่าง ๆ เพื่อก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตให้กับผู้ประกอบการ เช่น
1. การบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมเศรษฐกิจอวกาศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าในระดับโลก
2.การยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุและชิ้นส่วนด้านอากาศยานและการบิน สนับสนุนการเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ
3. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อการวางแผนพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนทรัพยากรของประเทศมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากการพัฒนาผู้ประกอบการร่วมกันแล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ อุปกรณ์ กลไกต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มขีดสมรรถนะบุคลากร รองรับการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมต่อไปอีกด้วย


