ลิลชีพ โปรตีนกระจก อาหารเพื่อคนรักสุขภาพ
คำกล่าวที่ว่า “ในวิกฤต มีโอกาส” เป็นเรื่องจริงของคนที่ไม่ยอมแพ้ ไม่จมอยู่กับปัญหา ก้าวเดินไปข้างหน้า “เอกรัฐ สงวนรักษา กรรมการผู้จัดการ ลิลชีพ คอนเซ็ปต์ ” อดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เลือกที่จะกล้าเดินออกจากชีวิตมนุษย์เงินเดือน ในวันที่ต้องหยุดงาน ไม่มีรายได้
เอกรัฐ สงวนรักษา จึงใช้เวลาว่างค้นหาหนทางทำธุรกิจของตัวเองเพื่อต่อสู้กับผลกระทบของ COVID-19 ที่ทำให้หลายธุรกิจ รวมทั้งสายการบินต้องหยุดชะงัก จนในที่สุด จึงคิดค้นสูตรทำผลิตภัณฑ์ขนมทอดกรอบจากโปรตีนถั่วเหลืองชื่อ “ลิลชีพ โปรตีนกระจก” ของตัวเอง
กว่าจะเป็น ลิลชีพ โปรตีนกระจก
เอกรัฐ เล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจว่า ขณะที่ต้องหยุดงานเป็นเวลานาน แต่ตัวเองเป็นคนที่รับประทานอาหารเจ และเป็นนักกีฬาของบริษัท จึงลองทดสอบตัวเองว่าถ้าไม่รับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์เลย ทานโปรตีนจากพืชล้วน ๆ จะแข็งแรงและมีประสิทธิภาพร่างกายดีเหมือนเดิมไหม จึงได้ทดลองนำโปรตีนถั่วเหลืองมาทอดรับประทานเองที่บ้าน และลองให้เพื่อน ๆ ได้ชิม ทุกคนบอกว่าเนื้อสัมผัสเหมือนไก่ทอด เหมือนแคบหมู เหมือนหมูกระจก สามารถทานคู่กับเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้ จึงนำมาตั้งเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ว่า “โปรตีนกระจก” หลังจากนั้นจึงคิดจะทำขายเป็นธุรกิจของตัวเอง โดยทดลองทำการตลาดทางออนไลน์ด้วยการ Live ขายสินค้าบนเพจ Facebook
ผมว่าข้อดีของการ Live สด คือ เราได้เจอลูกค้าตัวจริง ได้มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ได้รับ Feedback แบบตรง ๆ ว่าลูกค้าชอบอะไร ต้องการสินค้าแบบไหน และได้รู้จักกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ทำให้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตรงความต้องการของตลาด เช่น ทำอย่างไรที่จะยืดอายุสินค้า รสชาติอะไรที่ลูกค้าต้องการ แพ็กเกจแบบไหนโดนใจลูกค้า คำแนะนำและผลตอบรับทำให้มีกำลังใจที่จะพัฒนาสินค้าต่อไป โดยมีลูกค้าเป็นเสมือนคนในครอบครัวที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุนกันตลอด
ลูกค้าเป้าหมายสำหรับผลิตภัณฑ์นี้ เอกรัฐ บอกว่า เป็นกลุ่มผู้รักสุขภาพ ออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส แล้วอยากทานขนมโดยไม่รู้สึกผิด และลูกค้าสายดื่มหรือดูหนังเพลิน ๆ แต่อยากทานขนมเพื่อสุขภาพ เพราะขนม 1 ห่อให้โปรตีน 20 กรัม เทียบเท่ากับไข่ไก่ 4 ฟอง หรืออกไก่ 1 ชิ้น หรือการทานเวย์โปรตีน (Whey Protein) 1 มื้อ อิ่มง่ายแถมยังเป็นตัวช่วยควบคุมความหิวในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี เราพัฒนาเป็น 4 รสชาติ ได้แก่ รสเห็ดหอมชิตาเกะ รสต้มยำ รสหม่าล่า และรสเห็ดทรัฟเฟิล สามารถทานได้กับอาหารทุกอย่าง และต่อมาเพิ่มรสชาติใหม่สำหรับกลุ่มผู้บริโภค Plant Based ได้แก่ รสพริกเผากุ้ง และรสซาวครีมชีส
สู่ธุรกิจเต็มรูปแบบ
หลังจากขายออนไลน์และได้การตอบรับจากลูกค้าดี จึงคิดว่าถ้าจะลาออกจากงานประจำแล้วอยากจะให้สินค้าเราไปต่อได้ เราต้องเพิ่มช่องทางการขายก่อน หลังจากประสบความสำเร็จในการขายออนไลน์แล้ว ก็ได้ไปติดต่อวางขายสินค้าตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านอาหารสุขภาพ ร้านอาหารเจ และตัวแทนต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งก็ได้ผลตอบรับดีขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เคยขายได้เฉลี่ยเดือนละ 2,000-3,000 ซอง ปัจจุบันขายได้เดือนละ 40,000-50,000 ซอง
การทำธุรกิจต้องศึกษาทุกวัน ทั้งศึกษาออนไลน์ ออฟไลน์ และเรียนรู้จากหน่วยงานรัฐบาลต่าง ๆ อาทิ การเขียนแผนธุรกิจ การตั้งราคาต้นทุน การหาลูกค้า การหาช่องทางการจำหน่ายใหม่ ๆ ก็ได้รับความรู้และเป็นการพัฒนา Mindset ของเราด้วย
เริ่มต้นส่งออก
เอกรัฐ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการส่งออกว่า ได้เข้าไปร่วมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม (Thaifex) ปี 2565 จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ภายในงานได้จับคู่เจรจาธุรกิจ (Business Matching) กับนักธุรกิจชาวจีนและฮ่องกง และมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามา ด้วยความอยากขายสินค้าให้ได้ จึงเสนอราคาที่ดึงดูดลูกค้าให้ซื้อสินค้าเรา แต่ด้วยความเป็นนักธุรกิจมือใหม่ ยังไม่ทราบว่าต้องทำยังไง ก็เริ่มต้นศึกษาเทอมการส่งออก
จึงได้พบว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เราต้องคำนึงถึง เช่น การควบคุมสต็อกวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะกระทบในเรื่องการตั้งราคาสินค้าส่งออกให้ลูกค้าต่างชาติ ถ้าลืมคิดอาจจะทำให้เราขาดทุนได้
จึงเข้ามาปรึกษา EXIM BANK รวมถึงศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มากขึ้น และนำความรู้ที่ได้รับมาปรับเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจใหม่ อาทิ การเช็กอัตราค่าเงิน การคำนวณค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง การคำนวณความเสี่ยงทางการค้าที่อาจจะเกิดขึ้น การลดต้นทุนการผลิตด้วยการสั่งวัตถุดิบมาสต็อกมากขึ้นแต่ไม่มากจนเกินไป และการจัดโปรโมชันเพื่อเพิ่มยอดขาย หากลูกค้าสั่งสินค้าจำนวนมาก เราสามารถให้ Margin ธุรกิจของเขาได้มากขึ้น ก็ Win-Win กันทั้งคู่
ปัจจุบันสัดส่วนการขายสินค้า 80% อยู่ในประเทศ และ 20% ส่งออกไปต่างประเทศ ในปี 2566 อยากหาตลาดส่งออกเพิ่มอีก 2-3 ประเทศ โดยตั้งเป้าส่งออกต่างประเทศที่ 40% และจะผลักดันมูลค่าการขายในประเทศให้มากขึ้น
ความช่วยเหลือจาก EXIM BANK
หลังจากที่เริ่มส่งออกไปที่จีนแล้ว เอกรัฐ เริ่มกังวลว่าหากมีคำสั่งซื้อล็อตใหญ่เข้ามาอาจจะทำให้มีปัญหาด้านการผลิตเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียน จึงเริ่มมองหาวงเงินสำรองหรือเงินทุนหมุนเวียน และได้เข้าไปคุยกับ EXIM BANK ซึ่งได้รับคำแนะนำอย่างดีและยินดีที่จะสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้
ก่อนที่จะเข้ามาคุยกับ EXIM BANK ผมมีความคิดว่าพนักงานธนาคารคือต้องดุ ต้องคุยยาก ต้องใช้เอกสารเยอะแน่ ๆ แต่อันที่จริงไม่ได้ยากอย่างที่คิด ทุกคนใน EXIM BANK เป็นกันเอง ให้ความช่วยเหลือเหมือนพี่เหมือนน้อง น่าจะเป็นธนาคารที่ใจดีที่สุดแล้ว เพราะเท่าที่ผมเข้าใจ ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจมายังไม่ถึง 3 ปี หลายธนาคารอาจจะยังไม่ให้วงเงิน แต่ EXIM BANK เขามีผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุน Start-up ทำให้เราสามารถพัฒนาธุรกิจและเติบโตขึ้นได้
นอกจากนี้ ได้เคยร่วมงาน Business Matching ออนไลน์กับทาง EXIM BANK ก็ได้จับคู่ธุรกิจกับลูกค้าในเมียนมา และเริ่มส่งออกกับลูกค้ารายนี้แล้ว รู้สึกว่าได้รับโอกาสทางการค้า อยากจะทำ Business Matching กับลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เพื่อจะได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย อีกทั้งยังมีโอกาสเข้ามาร่วมกิจกรรมครบรอบ 29 ปี EXIM BANK มาออกบูทจำหน่ายสินค้า ถือเป็นโอกาสดีที่ได้สร้าง Brand Awareness ทำให้คนรู้จักสินค้ามากขึ้น
ฝากถึงผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นธุรกิจส่งออก
เอกรัฐ กล่าวว่า ผู้ประกอบการหลายคนมักคิดว่า การจะเริ่มต้นทำธุรกิจนั้นต้องรอให้ตัวเองมีความพร้อม ทั้งเรื่องของเงินทุน และอื่น ๆ แต่ผมมองว่า ถ้าเรามัวแต่คิดแบบนั้น รอให้ตัวเองพร้อมแล้วค่อยเริ่มต้น มันเท่ากับคุณยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรสักที ผมชอบคำกล่าวของโทมัส อัลวา เอดิสัน ที่ว่า “ผมไม่ได้ล้มเหลว แต่ผมค้นพบวิธีที่ไม่ได้ผลถึง 10,000 วิธี” อย่างตัวผมเองเริ่มต้นด้วยความไม่พร้อม แม้กระทั่งเรื่องของเงินทุน แต่ผมมี EXIM BANK คอยสนับสนุน ถึงแม้ว่าคุณจะยังเป็นเพียงผู้ประกอบการตัวเล็ก ๆ EXIM BANK ก็จะเป็นเหมือนพี่ใหญ่ใจดีที่คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา
อยากให้กำลังใจผู้ประกอบการที่ยังรอให้ตัวเองพร้อม ขอให้กล้าลงไปลุยกับธุรกิจของคุณเลย แต่ไม่ใช่การลุยไปเฉย ๆ คุณต้องหาข้อมูล เพราะโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เป็นโลกดิจิทัล คุณต้องลองลงมือทำ จะได้รู้ว่าแบบไหนได้ผลหรือไม่ได้ผล ค่อย ๆ ปรับ และเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย EXIM BANK https://www.exim.go.th/eximinter/e-news/29071/0523_CEO_talk.html


