posttoday

กรกนก สว่างรวมโชคพาSHUสู่บริษัทมหาชนเล็งปักหมุดตลาดอาเซียน

17 มีนาคม 2567

จากนักศึกษาคณะบัญชีที่ชื่นชอบแฟชั่นที่สร้างกิจการด้วยทุนศูนย์บาท ถึงวันนี้กรกนก สว่างรวมโชคมุ่งเดินหน้านำ SHU สู่บริษัทมหาชน ปูทางปักหมุดตลาดอาเซียน พุ่งเป้าขึ้นชั้นแบรนด์อินเตอร์ครอบคลุมทั่วโลกใน 5-10 ปี

KEY

POINTS

  • สู่เส้นทางผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ด้วยทุนศูนย์บาท
  • เล็งปักหมุดตลาดอาเซียนต่อยอดปั้นแบรนด์ SHU สู่ตลาดแฟชั่นอินเตอร์
  • เตรียมระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในไตรมาส 3 ปี 2568

เส้นทางสร้างธุรกิจของ กรกนก สว่างรวมโชค  ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชู โกลบอล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นประเภทรองเท้า เสื้อผ้า และกระเป๋า เริ่มก้าวแรกตั้งแต่เป็นนักศึกษาปริญญาตรี ปี 3 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีภาคบริหาร สาขาการจัดการสารสนเทศน์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเงินทุนศูนย์บาท โดยวิธีพรีออเดอร์ ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในยุคนั้น 

ที่แรงบันดาลใจในการเป็นผู้ประกอบการสำหรับกรกนก จุดประกายจากความชื่นชอบแฟชั่น มีการ Mix & Match สไตล์เครื่องแต่งกายเพื่อใช้เองด้วย Sense of Fashion โดยเริ่มจากร้านขายกระเป๋า เสื้อผ้า แล้วจึงเป็นรองเท้า ที่สยามสแควร์ ในชื่อ Sexy de Cute แต่ต้องเผชิญกับวิกฤตทางการเงินแฮมเบอร์เกอร์ จึงรีแบรนด์มาสู่ Shuberry ก่อนขยายเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า กระทั่งปรับเปลี่ยนอีกครั้ง ภายใต้ชื่อ SHU ในคอนเซ็ปต์ Everyday Lifestyle Fashion เพื่อยกระดับภาพลักษณ์และสร้างเอกลักษณ์ให้เป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ในแต่ละไลฟ์สไตล์ลูกค้าแต่ละกลุ่มในราคาที่เข้าถึงได้ 

จริง ๆ ป้อ (กรกนก) เริ่มออกแบบกระเป๋าตั้งแต่เรียน MIS ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งแม้ไม่ได้เกี่ยวกับดีไซน์เลย แต่ว่าโชคดีตรงเป็นคนชอบแต่งตัว และผันความชอบมาเป็นรายได้  เพราะมีข้อจำกัดที่เราไม่ใช่คนรวย เป็นลูกคนจน ต้องทำงานส่งตัวเองเรียน คือสู้ชีวิต พอเรียนใกล้สยามก็เลยเปิดร้านแบบรับพรีออเดอร์แล้วไปหาโรงงานขึ้นตัวอย่างและผลิตให้ ด้วยดีไซน์ที่สวยถูกใจกลุ่มนักศึกษาและจังหวะที่ถูกต้อง ทำให้มีออเดอร์ตั้งแต่แบบแรกเลย แล้วทำมาเรื่อย ๆ จนสามารถจับเงินแสนได้ภายในเวลา 3 เดือน

ปัจจุบัน SHU มีหน้าร้านทั้งหมด 41 สาขา ในห้างสรรพสินค้าชั้นนาทั่วประเทศ และจุดที่ทาให้แบรนด์พลิกผันกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง คือ การพัฒนานวัตกรรมรองเท้า รุ่น SOFASHOESรองเท้าซิกเนเจอร์ อันดับ 1ซึ่งได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ปี 2013 จากที่พื้นรองเท้าที่พิเศษ เพราะผลิตจากเทคโนโลยีพื้น SOFASHU® ซึ่งเป็นแผ่นรองของรองเท้าด้านบน (InsoleInsole) มีความนุ่มนวด รองรับสรีระเท้า ช่วยลดแรงกระแทก อันเป็นลักษณะเฉพาะของ SHU ที่ได้รับรองโดยแพทย์ด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ (Orthopedic doctor) ว่าช่วยซัพพอร์ตฝ่าเท้าและส้นเท้าได้เป็นอย่างดี จนส่งให้แบรนด์เป็นที่รู้จักใจวงกว้างมากขึ้น  


กรกนก สว่างรวมโชคพาSHUสู่บริษัทมหาชนเล็งปักหมุดตลาดอาเซียน

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของ SHU ขายผ่านช่องทางการขายทั้งออฟไลน์ (ร้าน) และออนไลน์ โดยในปี 2566 บริษัท ชู โกลบอลมียอดขายกว่า 390 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าที่จะสร้างการเติบโตเฉลี่ยที่ 15% ต่อปี สำหรับปีนี้ในส่วนของช่างทางออฟไลน์ จะเน้นเพิ่มจำนวนหน้าร้านทั่วประเทศ ทั้งแบบที่เป็นของแบรนด์เองและเป็นส่วนหนึ่งในแผนกรองเท้าของห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ขึ้นกับศักยภาพของแต่ละจังหวัด ขณะที่ฝั่งออนไลน์ก็มีจัดตั้งทีมไอทีภายใน เพื่อจะพัฒนาเว็บไซต์ของบริษัทเอง เพื่อที่จะสามารถเข้าถึงในพื้นที่ ซึ่งไม่สามารถเปิดร้านได้ คือเพื่อที่จะขยายตลาดในประเทศให้ครอบคลุม โดยคาดว่าในปีนี้จะทำยอดขายถึง 444 ล้านหรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงที่โควิด-19 ระบาดจนต้องปิดเมืองทำให้คนออกไปช้อปปิ้งไม่ได้ อาจสร้างผลกระทบกับหลายธุรกิจ แต่ SHU สามารถพลิกวิกฤติด้วยการเปิดช่องทางขายใหม่ผ่านการ live สดทาง Facebook ที่ประสบความสำเร็จมากจนทำยอดขายเพิ่มสูงถึง 13% ในปี 2563 แม้ไม่สามารถเปิดหน้าร้านได้ แต่หลังจากที่ผ่านประสบการณ์มาระยะหนึ่งและปรับปรุงระบบสื่อสารโดยใช้ Line official มาเสริมในการช่วยอธิบายและให้ข้อมูลกับลูกค้าก็ยิ่งทำให้ยอดขายพุ่งถึง 32% ในปี 2564 ขณะที่พอคลายล็อกดาวน์ก็ทำยอดขายเติบโตกว่า 40% ในปี 2565

กรกนก สว่างรวมโชคพาSHUสู่บริษัทมหาชนเล็งปักหมุดตลาดอาเซียน

SHU สร้างชื่อผ่าน Influencer และเซเลบ

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ SHU เป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก กรกนก จึงให้น้ำหนักในการสร้างแบรนด์ และเน้นทำการตลาดเพื่อโปรโมทสินค้าผ่าน Influencer ชั้นนำ ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ และร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นพาร์ทเนอร์ เช่น วทานิกา ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา ดีไซเนอร์แห่ง VATANIKA สร้างสรรค์ผลงานพิเศษ SHU X VATANIKA โดยผลตอบรับจะเห็นได้จากการที่ SHU ได้รับความสนใจและถูกเลือกใส่จากเหล่าคนดัง เซเลบริตี้ และดารา ซึ่งเป็นหนึ่งในทิศทางของแบรนด์

กรกนก สว่างรวมโชคพาSHUสู่บริษัทมหาชนเล็งปักหมุดตลาดอาเซียน

กรกนกเล่าย้อนถึงกลยุทธ์สร้างชื่อเสียง  SHU ให้เป็นที่รู้จักและถูกยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าที่  Influencer หรือดาราดังเบอร์ต้น ๆ  จะรับรีวิวผลิตภัณฑ์ให้ เธอจึงเริ่งปรับภาพลักษณ์ใหม่ที่ยกระดับให้แบรนด์ดูเป็น international มากขึ้นด้วยการติดต่อนางแบบเกาหลีมาถ่ายแบบให้ ต่อมาภายหลังจึงสามารถติดต่อ Influencer มารีวิวได้ง่ายขึ้น แต่ความพยายามจุดพลุให้แบรนด์โด่งดังไม่สุดทางเพียงแค่นั้น เพราะมองว่าหากได้เซเลบระดับโลกมาใช้ผลิตภัณฑ์หรือสวมใส่จริง ก็จะยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ให้อินเตอร์ขึ้นไปอีก จึงเริ่มเสาะหาช่างทางที่จะติดต่อหรือทำงานกับ stylist ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ต้องใช้เวลาและทุ่มเทอย่างมากก็ตาม

แต่สุดท้ายจากการรู้จักกับ  stylist ก็ทำให้มีการนำรองเท้า SHU ไปใช้ในการถ่ายแบบของนิตยสารระดับโลก เช่น  Vogue Italy ที่มีนางแบบ Victoria Secret ใส่รองเท้า SHU กับชุดของแบรนด์หรูอย่าง Balenciaga ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญ กระทั่งได้ได้รับการนำแนะต่อไปโดย stylist คนดังกล่าว จนมีสมาชิกราชวงศ์อังกฤษเลือกใส่รองเท้าของ SHU ด้วย

นอกจากนี้ ยังตระหนักถึงการสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ ด้วยการออกแบบและผลิตสินค้าให้ทนทาน มีอายุใช้งานได้ยาวนาน และสไตล์ทันสมัยเข้าได้กับแฟชั่นทุกยุค และในอนาคต SHU ก็มีแผนที่จะนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติมาใช้ทดแทนวัสดุในปัจจุบันซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการค้นคว้าวิจัย เพื่อจะนำไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง

กรกนก สว่างรวมโชคพาSHUสู่บริษัทมหาชนเล็งปักหมุดตลาดอาเซียน

ปักหมุดอาเซียนสู่แบรนด์ระดับโลก

กรกนกเล่าถึงแผนการใหญ่ของบริษัท ที่จะเกื้อหนุนให้มีเม็ดเงินทุนเพียงพอต่อการขยับขยายสู่ตลาดแฟชั่นโลกอีกว่า เธอตั้งเป้าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปี 2567 โดยคาดว่าสามารถยื่่นนแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ในช่วงไม่เกินไตรมาส 2 ของปีหน้า เพื่อให้ทันขายหุ้นไอพีโอเพื่อระดมทุนในช่วงไตรมาส 3 ของปีหน้า 

ทั้งนี้จากโจทย์ที่ต้องการสร้างให้ SHU เป็น global chain store brand ที่คลอบคลุมทั่วโลกภายใน 5-10 ปีข้างหน้า ดังเช่นแนวทางของ Uniqlo หรือ Zara โดยจะเปิดประตูสู่ตลาดอาเซียน หรือกลุ่มประเทศ Southeast Asia ก่อน ซึ่งจะเริ่มจากเปิดร้านสาขา flagship store ที่สิงคโปร์ก่อนเป็นจุดแรก แล้วจึงขยายต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ต่อ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ กระทั่งปูพรมไปทุกตลาดทั่วโลกอย่างที่ตั้งความหวังไว้

ถ้าเกิดแผนเข้าตลาดหุ้นไม่ได้เป็นไปตามหวัง หรือเราต้องลงทุนเอง ก็คงไปสิงคโปร์แค่สาขาเดียวก่อนด้วยเม็ดเงินลงทุนราว 10 ล้านบาท แล้วเน้นออนไลน์ไปเลย

กรกนกทิ้งท้ายถึงบทเรียนที่ได้รับจากการเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากว่า 20 ปีว่า ปัญหาเป็นเรื่องปกติที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องเจอ ทั้งในแง่ปัญหาธุรกิจ ปัญหาพนักงาน หรือแม้แต่การที่จะเติบโตขึ้น จึงจำเป็นต้องมีระบบการทำงานที่ดี ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และที่เราไม่ได้ถนัดด้วย ดังนั้นเมื่อเข้าใจว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติแล้ว หรือเข้าใจว่ามีปัญาหาก็แก้ได้ ทำให้รู้สึกว่าคือธรรมชาติ จึงไม่ครียดเวลาที่เกิดปัญหา และทำงานต่อได้

ตอนเด็กไม่เคยรู้ว่าเป็นผู้ประกอบการ มีความเจ๋ง แต่ตอนนี้มองออกแล้วว่าการเป็นผู้ประกอบการที่เริ่มจากศูนย์ กว่าจะได้หนึ่งล้าน เป็นสิบล้าน เป็นร้อยล้าน เราต้องผ่านอะไรมาเยอะและยากมาก ส่วนตอนที่จะถึงพันล้าน บางทีเราไม่รู้หรอกว่าต้องไปอย่างไร แต่อย่างน้อยรู้ว่าทำได้

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด แมนยู พบ บอร์นมัธ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 15 ธ.ค.68