posttoday

บสย.ตั้งเป้าปี 67 ค้ำประกันสินเชื่อ ช่วย SMEs 1.15 แสนล้าน

14 กุมภาพันธ์ 2567

บสย.เผย ปี 67 วาง 3 กลยุทธ์ “ช่วยค้ำ-ปรับโครงสร้งหนี้-แก้หนี้” ดันเป้าค้ำประกันสินเชื่อ 115,600 ล้าน หนุนสภาพคล่อง SMEs ไทย ขณะที่ปี 66 ยอดค้ำทะลุเป้า 1.14 แสนล้าน แก้หนี้สะสมกว่า 1.9 หมื่นราย รวมมูลหนี้ 6.94 พันล้าน ด้าน PGS11 อยู่ระหว่างรอคลังหารือ ลุ้นได้วงเงิน 1 แสนล้าน

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในปี 2567 บสย. ตั้งเป้าค้ำประกันสินเชื่ออยู่ที่ 115,600 ล้านบาท เพื่อสนับสนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบ แบ่งเป็น โครงการค้ำประกัน ที่ บสย. พัฒนาขึ้น อาทิ B17 และ RBP วงเงิน 75,600 ล้านบาท และโครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก หรือ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปีแรกไม่เกิน 5% วงเงิน 40,000 ล้านบาท

 

สำหรับยุทธศาสตร์ปี 2567  เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรก้าวสู่การเป็น Credit Mediator และ SMEs Digital Gateway ภายใต้แนวคิด “TCG Fast-Forward  Sustainable Credit Guarantee” บสย. มุ่งยกระดับการค้ำประกันสินเชื่อ เชื่อมการบริการใหม่ เข้าถึง SMEs มากขึ้น ตามเป้าหมาย โดยวางกลยุทธ์ 3 ช่วย  “ช่วย..ค้ำ ช่วย..ปรับโครงสร้างหนี้ ช่วย..แก้หนี้” เสริมแกร่ง SMEs พัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน

 

"ปีนี้ยังมองว่า ผู้ประกอบการ SMEs วงเงินไม่เกินไม่ 2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ยังต้องการสภาพคล่อง เพื่อนำไปขยายกิจการ เป็นหลัก ซึ่งรายใดที่ไม่แน่ใจเรื่องสภาพคล่อง หรือเริ่มมีปัญหาให้ติดต่อบสย. ซึ่งการเข้าถูกประเภทแหล่งทุนจะทำให้เข้าถึงสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น จะได้ลดคำว่า ขาดหลักประกัน และยืนยันว่า ฐานะทุนของบสย.ยังแข็งแกร่ง"นายสิทธิกร

 

 

สำหรับ ผลการดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ ปี 2566 บสย.อนุมัติค้ำประกัน รวม 114,025 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. โครงการภาครัฐ ( PGS 10 และโครงการอื่นๆ ) 51,249 ล้านบาท ค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.9 แสนบาท 2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก หรือ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2 43,376 ล้านบาท สัดส่วน 38%  ค้ำเฉลี่ยต่อราย 5.3 ล้านบาท 3. โครงการ บสย. ดำเนินการเอง วงเงิน 19,400 ล้านบาท (สัดส่วน 17%) ค้ำเฉลี่ยต่อราย 2.55 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการค้ำประกันสินเชื่อ กรุงเทพ -ปริมณฑล 45% และภูมิภาค 55%  

 

ขณะที่การค้ำประกันสินเชื่อโครงการ SMEs เพื่อความยั่งยืน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญจาก 27% ในปี 2565 เป็น 29% ในปี 2566 ได้แก่ โครงการค้ำประกันรายย่อย Micro Entrepreneurs โครงการ Start up Innovation โครงการ Green SMEs โครงการหนี้นอกระบบและโครงการพิเศษ พ.ร.ก.สินเชื่อฟื้นฟู และโครงการ PGS สำหรับกลุ่มเปราะบาง  ผู้ประกอบการ SMEs รายใหม่ได้สินเชื่อ จำนวน 99,298 ราย 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs )  รักษาการจ้างงาน รวม 855,087 ตำแหน่ง  สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 470,388 ล้านบาท สร้างสินเชื่อในระบบ 124,815 ล้านบาท คิดเป็น 1.10 เท่า ของยอดค้ำประกัน


 

ประเภทธุรกิจค้ำประกันสูงสุด 5 ลำดับโดดเด่นในปี 2566  ได้แก่ 1. ภาคบริการ 30% 2. ภาคการผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ 10%  3. ภาคเกษตรกรรม 10% 4. ภาคอาหารและเครื่องดื่ม 9% และ 5. สินค้าอุปโภค-บริโภค 8%  

 

สำหรับลูกหนี้ประนอมหนี้กับบสย.ที่เป็นเอ็นพีแอล และได้ยื่นรับคำขอประนอมหนี้กับ ปี 2566 มำจำนวน 1.9 หมื่นราย คิดเป็นวงเงิน 6 พันราย โดยปี 2567 คาดว่าจะมียอดเพิ่มขึ้นกว่า 1.2 พันราย

 

สำหรับความคืบหน้าโครงการ PGS11 ปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อพิจารณาโครงการดังกล่าว โดยมีความคาดหวังว่าจะได้รับวงเงินในโครงการ 100,000 ล้านบาท เนื่องจากมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวดี และแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักจะมาจากภาคการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งคาดว่าจะช่วย SME ได้มาก เนื่องจากปีนี้ มองว่า SME ยังมีความต้องการใช้สินเชื่อค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงมองว่าโครงการ PGS11 จะเข้าไปสนับสนุนได้


 
 

ข่าวล่าสุด

กต.ชี้ กัมพูชาปิดด่านห้ามคนไทยกลับประเทศขัดกฎหมายระหว่างประเทศ