posttoday

‘สวยซ่อนเสี่ยง’ ถอดบทเรียนจากวงการ ‘ความงามแบบเร่งด่วน’

30 ธันวาคม 2568

เมื่อ 'ความสวยรอไม่ได้' แต่ซ่อน 'ความเสี่ยง' ต่อการดื้อยาปฏิชีวนะ ที่อาจส่งผลต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคสูงในภายหลัง

KEY

POINTS

  • ค่านิยม "ความสวยรอไม่ได้" หรือความงามแบบเร่งด่วน นำไปสู่การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อและไม่จำเป็น เพื่อรักษาสิวหรือป้องกันการติดเชื้อหลังทำหัตถการ
  • พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นทำให้เกิดภาวะ "เชื้อดื้อยา" (AMR) ซึ่งส่งผลให้โรคผิวหนังที่เคยรักษาง่ายกลายเป็นเรื่องยาก ซับซ้อน และเสี่ยงเกิดแผลเป็นถาวร
  • ปัญหาเชื้อดื้อยาจากวงการความงามไม่ได้ส่งผลกระทบแค่รายบุคคล แต่สามารถแพร่กระจายสู่ชุมชนและสร้างภาระให้ระบบสาธารณสุขโดยรวม

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) ภายใต้โครงการ 'ดื้อยาหยุดได้' ออกมาเตือนคนไทยที่มีไลฟ์สไตล์ 'ความสวยรอไม่ได้' หมายถึง อยากสวยไว สิวยุบไว ผิวใสทันใจ แผลต้องหายเร็ว จึงต้องใช้ทางลัดด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะที่เคยได้ยินมาว่ากินแล้วดีหรือทาแล้วหายเร็ว 

พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้โรคผิวหนังที่ควรรักษาง่าย กลายเป็นเรื่องยาก แพง และต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น สิวที่เคยรักษาง่าย กลับต้องใช้เวลานานขึ้น แผลติดเชื้อเล็ก ๆ หลังทำหัตถการกลายเป็นแผลที่ดื้อการรักษาไม่ใช่เพราะโรครุนแรงขึ้น แต่เพราะเชื้อแบคทีเรียได้เรียนรู้จากการใช้ยาที่มากเกินความจำเป็น นี่คือสิ่งที่เรียกว่า การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance: AMR) ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียเปลี่ยนแปลงตัวเองจนไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะที่เคยใช้ได้ผล ทำให้การติดเชื้อรักษายากขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนก็สูงขึ้นตามมา  

 

‘สวยซ่อนเสี่ยง’ ถอดบทเรียนจากวงการ ‘ความงามแบบเร่งด่วน’

 

วงการความงาม กับดักเล็กๆ ที่จุดปัญหาเชื้อดื้อยาในไทย

 

วงการความงามกำลังกลายเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงใหม่ของปัญหาเชื้อดื้อยาในสังคมไทย จาก 2 ปัจจัยหลักร่วมกัน ได้แก่ ความไม่รู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลของประชาชน และค่านิยมความงามที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว โดย นพ.วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหานี้ว่า

“ปัญหาเชื้อดื้อยาในประเทศไทยมีปัจจัยสำคัญหลายอย่าง” กลไกสำคัญหนึ่งก็คือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้บริโภคที่มองว่ายาปฏิชีวนะเป็น “ทางลัด” สิวอักเสบขึ้นเมื่อไรก็กินยาตัวเดิมทุกครั้ง ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกิน ทา หรือฉีด แม้ไม่จำเป็นบางครั้งใช้ยาในขนาดต่ำ ใช้ไม่ครบระยะหรือ  ใช้ซ้ำ ๆ เลือกสกินแคร์ที่ผสมสารฆ่าเชื้อเพราะรู้สึกว่า “น่าจะปลอดภัยกว่า” หรือ การใช้ยาฆ่าเชื้อหลังทำหัตถการเผื่อไว้กันติดเชื้อ  ทั้งที่แผลส่วนใหญ่เป็นแผลสะอาด

พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากความหวังดีต่อตัวเองหรือผู้รับบริการ แต่ในภาพรวมของสังคม มันกำลังเร่งให้เชื้อแบคทีเรีย ถูกคัดเลือกให้แข็งแรงขึ้นจนไม่ตอบสนองต่อยาที่เราเคยพึ่งพา องค์การอนามัยโลกเตือนว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น ไม่ว่าจะเพื่อรักษาหรือความงาม กำลังผลักดันให้โลก  เข้าใกล้ยุคที่ “การติดเชื้อธรรมดา” อาจกลับมารักษายากอีกครั้ง

 

 นพ.วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง

 

ผลกระทบต่อผิวหนัง มากกว่าความงามแบบทันด่วน

 

ในทางผิวหนังและความงาม ผลของเชื้อดื้อยาไม่ได้หยุดอยู่แค่การรักษาที่ช้าลง แต่ส่งผลต่อผลลัพธ์ด้านความสวยงามโดยตรง

การติดเชื้อหลังหัตถการ เช่น ฝีหรือการติดเชื้อตามแนวแผลอาจไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะทั่วไปโดยเฉพาะเมื่อพบเชื้อดื้อยาสำคัญ ทำให้แผลหายช้า เกิดแผลเป็น หรือทิ้งรอยถาวรไว้บนผิวในหัตถการที่ทำลึกหรือมีวัสดุแทรก เช่น ฟิลเลอร์หรือ biostimulator หากมีเชื้อดื้อยาแฝงอยู่ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มขึ้นบางรายจำเป็นต้องใช้ยาที่แรงและราคาแพงขึ้นหรือแม้กระทั่งต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไขปัญหา

สำหรับการรักษาสิวเองก็เช่นกันเชื้อ Cutibacterium acnes ในหลายพื้นที่เริ่มแสดงการดื้อยาทำให้การใช้ยาปฏิชีวนะเดี่ยว ๆ ไม่เพียงไม่คุ้มค่าแต่ยังอาจเร่งการดื้อยา เมื่อการใช้ยาปฏิชีวนะในคลินิกเสริมความงามแพร่หลายเกินไป ผลกระทบก็ไม่ได้หยุดแค่คนไข้รายนั้น แต่เชื้อดื้อยาสามารถแพร่กระจายสู่ชุมชน และย้อนกลับมา  สร้างภาระให้โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขโดยรวม

ทั้งนี้ ในทางการแพทย์ผิวหนังอาการจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ สิวทั่วไป ผิวระคายเคืองหลังหัตถการ หรือผื่นแพ้สามารถดูแลได้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยกว่าและยั่งยืนกว่า การรักษาที่ดีจึงไม่ใช่การเร่งผลลัพธ์ ให้เร็วที่สุดแต่คือการดูแลผิวให้กลับสู่สมดุล เคารพระบบจุลินทรีย์ดีบนผิว (Skin Microbiome) และให้เวลาร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างเหมาะสม ความรู้ตรงนี้เองคือ “เมกอัพชิ้นสำคัญ” ที่เรียกว่า Health Literacy

 

‘สวยซ่อนเสี่ยง’ ถอดบทเรียนจากวงการ ‘ความงามแบบเร่งด่วน’

 

โครงการ ดื้อยาหยุดได้ มองว่าเมื่อประชาชนรู้จักยามากขึ้นจะกล้าถามแพทย์ กล้าคุยกับเภสัชกร กล้าตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะกับตัวเองจริง ๆ ความงามจึงไม่ใช่เรื่องของการตามกระแสแต่เป็นการเลือกด้วยเหตุผลเลือกสิ่งที่ดีต่อตัวเราและไม่ทิ้งภาระไว้ให้สังคม เพราะการสื่อสารที่ดีเปรียบเสมือนวัคซีนของสังคม.

ข่าวล่าสุด

CAAT เผยเดินทางอากาศปีใหม่คึกคัก ผู้โดยสารเฉลี่ยวันละเกือบ 4.7 แสนคน