posttoday

‘บราซิล’ ประเทศที่มี ‘สิทธิที่จะงาม’ และ ‘ศัลยกรรมฟรี’

09 ธันวาคม 2568

'บราซิล' คือประเทศที่ให้สิทธิทางสาธารณสุขฟรี และครอบคลุม 'ศัลยกรรมฟรี' ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า คนบราซิลมี 'สิทธิที่จะงาม'

KEY

POINTS

  • บราซิลมีแนวคิด "สิทธิที่จะงดงาม" (Right to Beauty) โดยมองว่าความงามเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นทุนทางสังคมที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้า
  • รัฐบาลบราซิลสนับสนุน "ศัลยกรรมฟรี" ผ่านระบบสาธารณสุข (SUS) แต่จำกัดเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ และความงามที่กระทบกับจิตใจ
  • การศัลยกรรมจะได้รับอนุมัติฟรีได้หากปัญหารูปลักษณ์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคทางจิตเวช โดยต้องมีใบรับรองจากแพทย์
  • แม้จะมีบริการฟรี แต่ระบบก็มีปัญหาเรื่องงบประมาณจำกัดทำให้ต้องรอคิวนานหลายปี และมีช่องโหว่ที่บางคลินิกใช้ผู้ป่วยเป็น "หนูทดลอง" ให้แพทย์ฝึกหัด

บราซิล เป็นประเทศที่ผู้คนนิยมทำศัลยกรรมมาเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา แต่ในขณะที่สหรัฐฯ จ่ายเงินเพื่อทำศัลยกรรมเอง ในบราซิลรัฐบาลสนับสนุนและมีส่วนที่ให้บริการประชาชนฟรี!

 

แม้ว่ายังมีปัญหาและอุปสรรคทั้งในด้านการเข้าถึงบริการและคุณภาพ แต่ในปีๆ หนึ่งบราซิลอุดหนุนการผ่าตัดเกือบครึ่งล้านครั้งต่อปีให้แก่ประชาชน

 

 

เนื่องจากผู้ที่เข้ามารับบริการถูกมองว่ามี ‘สิทธิที่จะงดงาม’ หรือ Right to Beauty

 

ประเทศบราซิล

 

 

ทำไม ‘ความงาม’ ถึงสำคัญสำหรับประเทศบราซิล? นี่คือคำถามแรกที่เกิดขึ้น

 

 

สำหรับสิทธิทางสาธารณสุขฟรีแก่พลเมืองบราซิล เกิดขึ้นหลังยุคเผด็จการสิ้นสุดลงในปี 1988  ซึ่งได้รวม ‘ศัลยกรรมพลาสติก’ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบ  ความสำเร็จนี้เป็นผลงานของศัลยแพทย์ อีโว พิตังกี (Ivo Pitanguy) ซึ่งภายหลังได้รับคำนิยมว่าเป็น พระสันตะปาปาแห่งศัลยกรรมพลาสติก

 

เขาได้โน้มน้าวประธานาธิบดี ฌูเซลีโน กุบิทเชค (Juscelino Kubitschek) ว่า ‘สิทธิความงาม’ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานไม่ต่างจากสิทธิด้านสุขภาพอื่นๆ เหตุผลสำคัญคือ ‘ความไม่สวย’ ก่อความทุกข์ทางจิตใจอย่างมากในบราซิล จนวงการแพทย์ไม่อาจละเลยได้

 

ความทุกข์ในใจของชาวบราซิลต่อความไม่สวยนี้ เกิดขึ้นจากช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพราะในช่วง 1890 รัฐบาลบราซิลให้คนยุโรปย้ายเข้ามาเพื่อฟอกขาวประชากร เนื่องจากยุคก่อนหน้านี้มีทาสแอฟริกาอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในบราซิลจำนวนมาก

 

พวกเขาเชื่อว่า ‘ความงามแบบคนขาว’ คือความงามที่แท้จริง

 

อีกทั้งในขณะเดียวกันในช่วงทศวรรษที่ 1920 นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งเคยมองว่า ความงามสะท้อนความก้าวหน้าทางชาติพันธุ์ของประเทศ ซึ่งเรียกว่า ‘ขบวนการยูจีนิก’

 

ขบวนการนี้ให้ความสำคัญเรื่อง ‘ความงาม’ โดยเฉพาะความงามของผู้หญิงสำคัญมาก เพราะผู้หญิงถูกมองว่าเป็นผู้ให้กำเนิดคนรุ่นใหม่ และเป็นตัวแทนของชาติในอนาคต ดังนั้นถ้าผู้หญิงดูดี มีรูปลักษณ์ผ่านมาตรฐาน จะถือว่าเป็นการพัฒนาชาติในมิติความงามและเชื้อชาติ

 

 

ส่วนสำคัญที่สุด ที่จะอธิบายให้คนที่อยู่คนละสังคมอย่างคนไทย เข้าใจความคิดของชาวบราซิลได้ดีคือ

พวกเขาคิดว่า ‘ความสวยหล่อ’ ยังมองว่าเป็น ‘ทุนทางสังคม’ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและความก้าวในหน้าสังคมได้

และเป็นเครื่องมือหลุดพ้นจากชนชั้นแรงงานหรือคนรายได้น้อย

 

ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพก็คือ คนที่หน้าตาดี มักจะได้รับโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิตที่ดีกว่า!

คนเหล่านี้จึงเป็น ‘พลเมืองที่มีประสิทธิภาพกว่า’

 

 

บราซิลคือประเทศที่มีผู้รับศัลยกรรมเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ

 

เพราะฉะนั้น การทำศัลยกรรมแก้รูปลักษณ์ จึงเป็นการช่วย ‘ปรับปรุงชนชาติ’ ได้เพราะเมื่อประชาชนเข้าถึงโอกาสและมีความก้าวหน้าในชีวิตที่ดีกว่า ชนชาติก็จะสามารถอยู่รอดและพัฒนาไปได้เช่นกัน

 

ซึ่งแนวคิดนี้แม้จะเคยผ่านการถูกประณามแต่ในหลายประเทศรวมถึงบราซิล ยังคงมีแนวคิด ความงามเท่ากับความก้าวหน้าของชาติ ฝังรากอยู่และทำให้การทำศัลยกรรมกลาเป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องที่รัฐควรให้การสนับสนุน อย่าง ‘ศัลยกรรมฟรี’

 

 

….

 

ทีนี้มาสู่คำถามที่ 2 ศัลยกรรมแบบไหนถึงฟรี?

 

ถ้าพูดถึงคำว่า ‘ศัลยกรรม’ ประวัติศาสตร์ที่มาของมันไม่ได้ตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นไปเพื่อ ‘ซ่อมแซม’ ส่วนที่เสียหายมาก่อน

 

ย้อนไปในสมัยอินเดียโบราณ แพทย์ใช้การปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อซ่อมจมูกที่ถูกตัดเนื่องจากได้รับการลงโทษ ในสมัยกรีก-โรมัน แพทย์ก็ได้มีการพัฒนาวิธีเย็บแผล ผ่าก้อนเนื้อ หรือซ่อมริมฝีปากที่แหว่ง

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดเกิดในช่วงสงครามโลก ที่มีศัลยแพทย์พัฒนาการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ และสร้างใบหน้าใหม่ เพื่อให้คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตจากบาดแผลที่เกิดในช่วงสงครามได้ ซึ่งเป็นรากฐานของศัลยกรรมตกแต่งสมัยในช่วงระยะเวลาต่อมา

 

ฉะนั้นแล้ว ก่อนที่คำว่า ‘ศัลยกรรม’ จะเป็นคำเรียกที่คุ้นเคยไปในเชิงของ ‘ความงาม’ หรือการแก้ไขจุดที่มนุษย์ไม่พอใจกับใบหน้าของตน มันเกิดขึ้นเพื่อ ‘ซ่อมแซม’ ส่วนที่เสียหายมาก่อน

 

‘บราซิล’ ประเทศที่มี ‘สิทธิที่จะงาม’ และ ‘ศัลยกรรมฟรี’

 

 

สำหรับบราซิล กระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งการศัลยกรรมเป็น 2 ประเภทเช่นกัน คือ ความงาม และ การซ่อมแซม

 

นโยบายที่ออกมาของบราซิลหรือหน่วยงานระบบสาธารณสุขที่เรียกว่า SUS นั้นค่อนข้างเข้มงวด คือ จะให้บริการฟรี ต่อเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่ามีความจำเป็นทางการแพทย์เท่านั้น!

นั่นหมายถึง กระทบต่อสุขภาพกาย จิต หรือการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง

 

โดยสามารถครอบคลุมการศัลกรรมสำคัญ ๆ หลายประการ เช่น เสริมเต้านมหลังมะเร็ง, การศัลยกรรมหลังการลดน้ำหนักมหาศาล เช่น ผู้ที่ผ่าตัดกระเพาะมาแล้วเกิดปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย, การแก้ไขความพิการแต่กำเนิด, การรักษาแผลไฟไหม้หรืออุบัติเหตุรุนแรง, การลดขนาดหน้าอกที่ใหญ่ผิดปกติ หรือการแก้ไขปัญหาเรื่องของหูกางที่ส่งผลกระทบทางจิตใจรุนแรงต่อเด็ก

 

 

….

 

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะ เอ๊ะ!

 

ถ้าเป็นแบบนี้มันอาจจะมีช่องโหว่บางอย่างอยู่ในระบบที่เรียกว่า ‘พื้นที่สีเทา’ นั่นก็คือ หากรูปลักษณ์ได้ก่อปัญหากับจิตใจอย่างรุนแรง ก็สามารถใช้บริการได้หรือไม่? ..

ซึ่ง SUS ก็เข้มข้นมากพอที่จะกำหนดว่า ความทุกข์นั้นต้องอยู่ในระดับที่เป็น ‘จิตเวช’ คือ ซึมเศร้า ฯลฯ ซึ่งต้องมีใบรับรองทางจิตเวชมาเป็นกุญแจสำคัญ

 

แต่มีบางกรณีที่ดูก้ำกึ่งว่าเป็นความงามหรือการรักษา เช่น

การแก้ไขปัญหาหูกางในเด็ก/วัยรุ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเพราะ การกางของใบหูไม่ได้ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพของเด็ก แต่ถ้าเด็กถูกบูลลี่อย่างรุนแรง เกิดความไม่มั่นใจจนซึมเศร้า ไม่อยากไปเรียน SUS จะอนุมัติให้ผ่าตัดฟรี โดยถือเป็นการรักษาเพื่อสุขภาพจิตและพัฒนาการทางสังคมของเด็ก

เช่นเดียวกับ การลดขนาดหน้าอก นอกจากปัญหาปวดหลังแล้ว ถ้าผู้หญิงรู้สึกอับอายอย่างรุนแรงจนส่งผลต่อการเข้าสังคม จิตแพทย์สามารถออกใบรับรองสนับสนุนได้

หรือ หน้าท้องลายหรือหย่อนคล้อยหลังคลอด ซึ่งปกติก็ไม่ทำให้ แต่ถ้ามันกระทบต่อชีวิตคู่ สุขภาพจิต หรือสุขอนามัย ก็สามารถทำได้เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ในรายงานข่าวของ CNBC ในปี 2018 เคยเผยแพร่บทความที่ระบุว่า

 

ท่ามกลางพื้นที่เทาที่ SUS อนุมัติ 

มีหลายคลินิกที่พบว่าเกือบ 95% ของศัลยกรรมเพื่อความสวยงามล้วนๆ

 

เพราะแพทย์จงใจเบลอเส้นแบ่งระหว่างอาการที่ควรรักษา กับอาการที่ส่งผลกระทบด้านจิตใจ เพื่อที่จะมี ‘โคบายา’ ซึ่งแปลว่า ‘หนูทดลอง’ ให้แพทย์ประจำบ้านฝึกผ่าตัด! อีกเหตุผลคือมองว่าความงามคือสุขภาพจิตที่ดีและสิทธิความเป็นพลเมือง

 

….

 

อ่านถึงตรงนี้อีกครั้ง หลายคนอย่าคิดที่จะอิจฉา  เพราะเหมือนระบบสาธารณสุขหลายแห่งทั่วโลก แม้จะให้ฟรี แต่ทรัพยากรนั้นมีจำกัดมาก

ระบบ SUS มีงบประมาณจำกัดจนทำให้เกิดคิวที่ยาวนานระดับตำนาน ซึ่งอาจรอคอยในระดับหลายปีหรือไม่มีกำหนด เพราะหากเป็นเคสเร่งด่วนก็จะถูกแทรกได้

 

....

 

สุดท้าย หากถอยฉากออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้น ในประเทศที่มองว่า ‘สิทธิของความงาม’ เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และเป็น ‘บันได’ สำหรับโอกาสและสถานะทางสังคมที่ดีกว่า จนเกิดระบบศัลกรรมฟรี แม้ว่าจะมีการแก้กฎหลายข้อให้รัดกุม และเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อการรักษา แต่หลายครั้งและหลายโรคก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยม ‘ความงาม’ ในประเทศอยู่

 

หลายประเทศเรียกร้องว่า การทำศัลยกรรมเพื่อความงาม เป็นเรื่องที่ทำได้ และเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับบราซิล ทำให้ต้องกลับมาคิดอีกครั้งว่า ‘ความงาม’ ที่อยากได้ผลลัพธ์แบบนั้นจนยอมเอาตนเองเป็นหนูทดลอง ภายใต้แรงกดดันทางสังคมที่มีรูปแบบความสวยเป็น ‘แพทเทิร์น’ ว่าแบบนี้คือสวย

 

เป็น ‘ทางเลือก’ ที่มนุษย์เลือกเองจริงหรือ?

 

 

อ้างอิง

https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/775

https://www.cnbc.com/2018/05/04/in-brazil-plastic-surgery-is-free-or-low-cost-but-theres-a-dark-side.html?utm_source=chatgpt.com

ข่าวล่าสุด

อาชีวะอาสาตั้งศูนย์ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่หาดใหญ่