‘ซึมเศร้า’ ภัยเงียบของ ‘ผู้ชาย’ ที่ถูก ‘วัฒนธรรมความเป็นชาย’ ทำร้าย!
วัฒนธรรมความเป็นชาย กำลังเป็นภัยเงียบ ที่กัดกิน 'ผู้ชาย' ไม่น้อย เพราะสามารถนำไปสู่ภาวะ 'ซึมเศร้า' ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือและลงท้ายด้วยความสูญเสีย
KEY
POINTS
- วัฒนธรรม "ความเป็นชาย" ที่คาดหวังให้ผู้ชายต้องเข้มแข็งและห้ามแสดงความอ่อนแอ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ชายไม่กล้าขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาสุขภาพจิต
- แม้สถิติจะชี้ว่าผู้หญิงมีภาวะซึมเศร้ามากกว่า แต่ผู้ชายไทยกลับมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าผู้หญิงหลายเท่า
- ผู้ชายมักจัดการกับความเครียดและภาวะซึมเศร้าด้วยพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มสุรา ใช้สารเสพติด หรือแสดงออกผ่านความก้าวร้าว แทนการพูดถึงความรู้สึกโดยตรง
** ผู้ที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าและคิดเรื่องความตายหรืออยากตายควรพบจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ **
ตราบใดที่ ‘ภาวะซึมเศร้า’ ยังถูกมองหรือ ‘รู้สึก’ ว่าเป็นความอ่อนแอ
เราจะยังเห็นผู้ชายอีกจำนวนไม่น้อย ที่เลือกจบชีวิตโดยไม่เคยไปพบแพทย์
ตามข้อมูลกรมสุขภาพจิต ระบุว่าภาวะซึมเศร้าในประเทศไทยพบในประชากรราว 2.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคนในระยะเวลาเพียง 4 ปี ซึ่งยังไม่นับรวมผู้ที่มีปัญหาแต่ไม่ได้รับการรักษาถึง 10 ล้านคน ในขณะเดียวกัน WHO หรือองค์การอนามัยโลก เคยเปิดสถิติเทียบระหว่างชายและหญิงพบว่า ผู้มีภาวะซึมเศร้าในหญิงมีราว 2.9% ในขณะที่ชาย 1.7%
แต่! เป็นไปได้มากที่ข้อมูลดังกล่าว ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้ชาย!
หากเทียบกับรายงานของ CDC หรือ Centers forDisease Control and Prevention ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผู้ชายที่มีความรู้สึกวิตกกังวลหรือซึมเศร้าทุกวันมีอยู่ราว 8.5% ของผู้ชายทั้งหมด แต่มีเพียง 41.0% เท่านั้นหรือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ที่เคยรับการรักษา
แปลว่า “กว่า 59%” ของผู้ชายที่อาการชัดเจน อาจไม่ได้รับการดูแลทางการแพทย์ใด ๆ
ที่น่าตกใจอีกสถิติหนึ่งคือ สถิติของศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ ในไทย (ปี 2021–2024) พบว่าอัตราการฆ่าตัวตาย (ต่อ 100,000 ประชากร) สำหรับผู้ชาย อยู่ราว 12.29–13.30 คน ส่วนผู้หญิงอยู่ราว 2.67–3.00 คน แปลว่า “อัตราผู้ชายฆ่าตัวตาย” สูงกว่าผู้หญิงหลายเท่า แม้ผู้หญิงจะมีความพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าก็ตาม
นอกจากนี้ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ยังระบุในบทความเพศสภาวะกับสุขภาพจิตไว้ว่า การตอกย้ำทางเพศภาวะที่ว่าผู้หญิงมักมีปัญหาทางอารมณ์ อาจทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลในผู้หญิงมากกว่าความเป็นจริง และวินิจฉัยในผู้ชายน้อยกว่าความเป็นจริง!
เกิดอะไรขึ้นกับตัวเลขเหล่านี้ โดยเฉพาะตัวเลขที่ผู้ชายที่มีภาวะซึมเศร้า จะฆ่าตัวตายสำเร็จกว่าผู้หญิง ..
มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่อง ‘ความกล้าได้กล้าเสีย’ ในแบบที่คนทั่วไปเข้าใจ!
ถอดรหัส ‘สังคมไทย’ เมื่อผู้ชายต้อง ‘เข้มแข็ง’
จากสถิติเราจะพบว่า ปัญหา ‘โรคซึมเศร้า’ ในเพศชาย คือ ภัยเงียบ ที่คนรอบข้างหรือแม้แต่ผู้ชายทุกคนไม่ควรมองข้าม
ในสังคมไทยมีสิ่งหนึ่ง ที่หล่อหลอมลักษณะนิสัยและวิธีคิดของคนไทยมาหลายยุคหลายสมัย นั่นคือภาวะ ‘ความเป็นชาย’ พูดง่ายๆ คือ ผู้ชายต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น ต้องสามารถแก้ไขปัญหา และเป็นผู้นำครอบครัวได้
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความใน เพศภาวะกับสุขภาพจิต ระบุว่า ความเครียดที่ผู้ชายพบบ่อยคือ
การถูกท้าทายในความสามารถของตนเอง
หรือเมื่อบุคลิกภาพไม่สอดคล้องกับบทบาท "ความเป็นชาย" ที่สังคมกำหนด เช่น แข็งแรง เป็นผู้นำ กล้าได้กล้าเสีย เก็บความรู้สึกและไม่แสดงออกหากมีปัญหา ซึ่งต่างจากผู้หญิงที่มักจะเป็นปัญหาในการสมรส การหย่าร้าง การขาดที่พึ่งพา แต่ในเพศชายมักเป็นเรื่องเศรษฐกิจ
โดยผู้ชายจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงข้ามกับผู้หญิง คือ เก็บความรู้สึกไว้ภายใน และไม่ค่อยพูดถึงความรู้สึก เนื่องจากสังคมคาดหวังให้ผู้ชายเข้มแข็งและไม่แสดงความอ่อนแอ ผู้ชายมักไม่พูดว่าตนเองกำลังเผชิญเหตุการณ์อะไรบ้าง ทำให้คนรอบข้างดูไม่ออกและอาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ทันเวลา หรือเข้าสู่การรักษาที่ถูกต้องช้าเกินไป
อีกทั้ง ผู้ชายต้องรับผิดชอบในการหาเงิน อาจทำให้จัดลำดับความสำคัญในการทำงานหาเงินให้กับครอบครัวมาก่อนการดูแลตนเอง รวมไปถึงค่านิยมเรื่องการขอความช่ยเหลือจากผู้อื่น แสดงความอ่อนแอ ทำให้ผู้ชายไม่สะดวกใจที่จะไปรับบริการสุขภาพที่ทางโรงพบาบาลจัดขึ้น
นอกจากนี้รูปแบบการบำบัดที่ให้ความสำคัญต่อการพูดความรู้สึก อาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้ชาย
สิ่งต่างๆ เหล่านี้นำไปสู่วิธีการจัดการความเครียดที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม คือ การดื่มเหล้า ใช้สารเสพติด หรือที่รุนแรงกว่านั้นคือ หนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย
จากข้อมูลในประเทศไทยชี้ว่า การฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตนเอง การใช้สารเสพติด และโรคติดสุรา เป็น 3 อันดับแรกของพฤติกรรมจากการเจ็บป่วยทางจิตที่สำคัญในเพศชาย
พฤติกรรมที่ควรสังเกตเห็น
หากอยากสังเกตว่าผู้ชายมีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ เบื้องต้น ผู้ชายมักจะแสดงให้เห็นอย่าง มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม เช่น ไม่เป็นมิตร ก้าวร้าวรุนแรง ใช้สารเสพติด มีความบกพร่องในหน้าที่การงาน หย่าร้าง ลักขโมยของ ทำผิดกฎหมาย หรือมีหนี้สิน
นอกจากนี้ สามารถสังเกตพฤติกรรมของตนเองได้ โดย รพ.รามาธิบดี เปิดเผยผ่านช่องทาง RAMA Channel โดยสามารถเช็ค 9 พฤติกรรมเข้าข่ายโรคซึมเศร้า ได้แก่
- เศร้า เบื่อ หรือหงุดหงิดง่าย บางคนอาจจะรู้สึกเศร้า เบื่อ ไม่มีความสุข หรืออาจจะรู้สึกโกรธ โมโห หงุดหงิดง่าย โดยมีความรู้สึกเหล่านี้วนเวียนมาอยู่เป็นประจำ เกือบทุกวัน
- ไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบ รู้สึกไม่อยากทำงานอดิเรกที่ตนเองเคยชอบทำ เช่น เล่นดนตรี เล่นกีฬา อ่านหนังสือ ดูละคร ดูทีวี หรือทำได้แต่รู้สึกไม่สนุกเหมือนเคย
- เบื่ออาหาร หรือกินมากจนเกินไป สำหรับบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องการรับประทานอาหาร เช่น รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง หรือกลับกันบางคนอาจจะรู้สึกเครียด ทำให้ทานอาหารเพิ่มมากขึ้น จนไม่สามารถควบคุมการรับประทานอาหารของตัวเองได้
- มีปัญหาเรื่องการนอน บางคนอาจจะมีปัญหาในเรื่องของการนอน โดยอาจมีอาการนอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ หลับยากหรือตรงกันข้ามบางคนอาจจะรู้สึกง่วงเพลียจนอยากนอนทั้งวันก็เป็นได้
- ทำอะไรช้าลง กระสับกระส่าย ในผู้ป่วยบางรายอาจจะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรเชื่องช้าลงกว่าที่เคย หรือมีอาการกระวนกระวาย และกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัดเจน
- เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย เพลียง่ายกว่าแต่ก่อน หรือไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
- รู้สึกไร้ค่า บางคนอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีความหมาย หรือทำอะไรก็ไม่ดีไปเสียหมด ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง หรือเอาแต่โทษตัวเองในทุก ๆ เรื่อง
- สมาธิสั้น ความจำแย่ลง ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตัวเองสมาธิสั้น และความจำแย่ลง ทำให้มีอาการเหม่อลอยหรือใจลอยบ่อย ๆ จนทำให้มีปัญหาด้านการตัดสินใจ และทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเหมือนเคย
- คิดเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง เริ่มมีการคิดเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง หรือรู้สึกว่าชีวิตมืดมนไปหมดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ และอาจร้ายแรงไปจนถึงการฆ่าตัวตาย
ถ้าหากใครลองเช็กดูแล้วมีอาการตรงกันกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ตั้งแต่ 5 อาการขึ้นไป หรือมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันก็ควรจะเข้ารับการปรึกษากับจิตแพทย์โดยด่วน เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
…
ท้ายนี้ หากเราจมอยู่กับวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ที่ทำให้เข้าใจว่า ‘ภาวะซึมเศร้า’ กลายเป็นการแสดงออกซึ่งความอ่อนแอ และผู้ชายไม่มีสิทธิที่จะ ‘อ่อนแอ’ ผลลัพธ์จะนำไปสู่การสูญเสียที่สุดท้ายก็ป้องกันเอาไว้ไม่ได้.
อ้างอิง
https://www.psychiatry.or.th/JOURNAL/55-1/11-Somporn.pdf
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/12860
https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคซึมเศร้า/


