posttoday

บำรุงราษฎร์ ชี้ อสังหา-การแพทย์เชิงป้องกัน-สุขภาพจิต โตเด่นในธุรกิจ Wellness

12 พฤศจิกายน 2568

'บำรุงราษฎร์' ชี้ อสังหา-การแพทย์เชิงป้องกัน-สุขภาพจิต เติบโตโดดเด่นในธุรกิจ Wellness โดยมูลค่าตลาดโลกอยู่ที่ 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยมีส่วนแบ่งไม่ถึง 1 %

KEY

POINTS

  • ธุรกิจ Wellness ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (18.1%) การแพทย์เชิงป้องกันและเฉพาะบุคคล (15.2%) และสุขภาพจิต (11.6%)
  • เทรนด์การแพทย์เชิงป้องกันและการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้เทคโนโลยี เช่น การตรวจยีน อุปกรณ์ติดตามสุขภาพ (Wearable Devices) และการตรวจอายุชีวภาพ
  • ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านการบริการในธุรกิจ Wellness และเป็นที่สนใจของต่างชาติ แต่ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาบุคลากรและเร่งรัดการอนุมัติใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวในงาน 55th Nation Group: THAILAND’s NEW PROSPECT  ในหัวข้อ The Future of Wellness Economy เศรษฐกิจสุขภาพ ว่า

ในปี 2023 มูลค่าทั่วโลกของ Wellness Economy อยู่ที่ 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะขยับเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี  2028   สำหรับสัดส่วนนั้นแบ่งเป็น

  • Personal Care& Beauty 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • Healthy Eating,Nutrition & Weight Loss 1.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • Physical Activity 1.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ประเทศไทยยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากมูลค่าทั่วโลกได้เพียงแค่ราว 0.57%

 

บำรุงราษฎร์ ชี้ อสังหา-การแพทย์เชิงป้องกัน-สุขภาพจิต โตเด่นในธุรกิจ Wellness

 

สำหรับแนวโน้มเติบโตและเป็นโอกาสทางธุรกิจ ได้แก่

อันดับ 1  อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) มีการลงทุนเติบโตมากที่สุด 18.1 %

อันดับ 2  Prevention&Personalized Medicine 15.2 %

อันดับ 3  สุขภาพจิต (Mental Health) 11.6 %

นอกจากนี้เทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วอื่นๆ  เช่น การป้องกันโรคและการบำรุงรักษาร่างกายที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล  เช่น การตรวจวิเคราะห์ยีน การใช้ Wearable Devices ซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดตามสุขภาพที่มีความแม่นยำ  หรือการตรวจ Biological Age หรือบอกอายุสุขภาพบุคคลว่าตรงกับอายุของตนเองหรือไม่ เป็นต้น

 

 

ดร.อาทิรัตน์ กล่าวว่าที่รพ.บำรุงราษฎร์ ได้มีการเริ่มต้นเรื่องของ  Wellness มานานกว่า 20 ปี เพราะตอนนั้นมองว่าเทรนด์ในอนาคตคนต้องเข้าสู่การรักษาน้อยลง และการให้บริการจะเน้นไปในเชิงของการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า และเป็นส่วนที่สามารถคัดกรองลูกค้าเพื่อส่งต่อมายังภาคของการรักษาได้

ขณะเดียวกันวิธีการของ Wellness หรือ Longevity นั้น สามารถเข้าไปใช้ในขั้นตอนของการ ‘รักษา’ ซึ่งเป็นผู้ที่ป่วยแล้วได้ด้วย เช่น ผู้ป่วยโรค NCDs จะมีวิธีการปรับพฤติกรรมดูแลตนเองอย่างไร

ทั้งนี้ ดร.อาทิรัตน์กล่าวว่า วิธีการที่นำเอา Wellness เข้าไปใช้นั้นเป็นที่สนใจของต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันออกกลางเป็นอย่างมาก ซึ่งเคยมีความต้องการที่จะให้ไทยเข้าไปดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพราะจุดได้เปรียบที่สำคัญของประเทศไทยในด้าน Wellness ก็ยังคงอยู่ที่การบริการ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น การฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง Wellness และการแพทย์เชิงป้องกันมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงขั้นตอนทางกฎหมายที่ควรจะเปิดทางให้กับเทคโนโลยีหรือองค์ความรู้ใหม่ๆ

 

“ เราควรจะสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศในเรื่องของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสู่ประเทศไทย แต่ตอนนี้ก็มีปัญหาที่มีกฎเข้ามามากมาย จึงอยากให้เพิ่มเรื่องความรวดเร็วของการอนุมัติใช้เทคโนโลยี เพราะต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ หรือ มาเลเซีย ก้าวหน้าไปมากแล้ว”

ข่าวล่าสุด

“โคเวอร์แมท” เติบโตจาก “ศูนย์” สู่ New S Curve โตอีก 10X