posttoday

‘แพทยสภา’ เตือนแพทย์! ให้ข้อมูลสุขภาพตาม ‘สื่อ’ ควรตรงกับความจริงทางวิทยาศาสตร์

11 พฤศจิกายน 2568

พบมีการรายงานคดีแพทย์ให้ข้อมูลไม่จริงมาที่แพทยสภา ชี้ควรระวังการให้ข้อมูลผ่านสื่อ ขณะที่ไทยยังไร้มาตรการกำกับดูแล ‘อินฟลูฯ สายสุขภาพ’ ที่ไม่ใช่แพทย์

KEY

POINTS

  • แพทยสภาเตือนแพทย์ให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลสุขภาพผ่านสื่อต่างๆ หลังเริ่มมีคดีร้องเรียนว่าให้ข้อมูลไม่ตรงกับความจริงทางวิทยาศาสตร์
  • การให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่ไม่เป็นจริง ถือเป็นการผิดข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565
  • แพทย์ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ควรให้ความเห็นในเรื่องนั้น และควรคัดค้านหากพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเมื่อออกสื่อร่วมกับบุคคลอื่น

นพ.ภาสกร วันชัยจิระบุญ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา  ได้โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดีย ระบุมีคดีร้องเรียนแพทย์ ในประเด็นการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงตามสื่อต่างๆ เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่า

 

จาก ข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วย การรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2565

ข้อ 16 ที่ว่า ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้อง

"ไม่ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์"

"อันไม่ตรงกับความเป็นจริง"

 

ตอนนี้ จะเริ่มมีคดีที่เข้ามาที่แพทยสภา คือ แพทย์ที่ให้ข้อมูลทางการแพทย์ตามสื่อต่างๆ ที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริงแบบวิทยาศาสตร์

ขอให้แพทย์พึงระวังการให้ข้อเท็จจริงในเรื่องสุขภาพต่างๆ ครับ

 

‘แพทยสภา’ เตือนแพทย์! ให้ข้อมูลสุขภาพตาม ‘สื่อ’ ควรตรงกับความจริงทางวิทยาศาสตร์

 

นพ.ภาสกร ยังได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ โพสต์ทูเดย์ ในประเด็นดังกล่าว รวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับ ‘อินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพซึ่งไม่ใช่แพทย์’ ในภายหลังโดยระบุว่า

 

ในกรณีของแพทย์ หากแพทย์ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ก็ไม่ควรพูดในสิ่งที่ตนเองไม่รู้  โดยแพทย์มีสิทธิที่จะตอบได้ว่า ไม่ทราบหรือต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว

นอกจากนี้ หากแพทย์ออกสื่อร่วมกับบุคคลทั่วไป ที่อาจจะเป็นอินฟลูเอนเซอร์ หรือ ผู้มีชื่อเสียง สิ่งที่ควรจะทำก็คือควรจะเสนอความคิดเห็นคัดค้านหากเห็นแล้วว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในกรณีของการออกอากาศสด   ส่วนในกรณีเป็นลักษณะของรายการที่สามารถตรวจทานก่อนออกอากาศได้ ควรที่จะมีการตรวจสอบเนื้อหาก่อนออกอากาศทุกครั้ง เพื่อป้องกันความผิดพลาดในทุกกรณี

 

ในประเด็นอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพ ที่ไม่ใช่แพทย์นั้น แม้จะเป็นการออกความเห็นส่วนตัวหรือประสบการณ์ส่วนบุคคลก็จำเป็นต้องระมัดระวัง สิ่งที่จะทำได้ คือ การกำกับและตรวจสอบจากผู้ผลิตสื่อเอง ที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ตนเองผลิต

 

สิ่งที่ทำได้อย่างแรก คือ ข้อความชี้แจงว่า นี่เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ใช่ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์

นอกจากนี้ หากเป็นความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และสุขภาพ แม้จะนำอินฟลูเอนเซอร์ซึ่งสามารถแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลได้ แต่ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญออกความเห็นร่วม เพื่อให้ทิศทางของเนื้อหาเป็นไปอย่างถูกต้อง  หรือมิเช่นนั้นควรจะมีการตรวจสอบเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญในประเด็นดังกล่าวทุกครั้ง  เพราะสื่อมีอิทธิพลต่อการกำหนดการรับรู้ของประชาชนเป็นอย่างมาก

 

กฎหมายการควบคุมโฆษณา ในประเด็น ‘สุขภาพ’

 

โพสต์ทูเดย์ พบว่า แม้ว่า ‘สังคมไทย’ ทุกวันนี้จะมีการ ‘เลี่ยงบาลี’ รวมไปถึง ‘กฎหมายไทย’ ยังไม่สามารถเท่าทันความเป็นไปของโลก

การออกความเห็นเรื่อง ‘ข้อมูลสุขภาพทั่วไป’ ของบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่แพทย์ หรือ ‘อินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพที่ไม่ใช่แพทย์’ จะถือว่าเป็นการออกความเห็นทั่วไป หากไม่เห็นเจตนาหรือไม่มีการชักจูงให้ซื้อสินค้า ยังถือว่า ‘ไม่ผิดกฎหมาย’  เว้นแต่จะมีผู้ที่เดือดร้อนต่อข้อคิดเห็นดังกล่าวอย่างร้ายแรงและใช้กฎหมายตัวอื่นในการจัดการ

 

ยกเว้นผู้ที่ออกมาให้ข้อมูลเป็น ‘แพทย์’ จะอยู่ภายใต้ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ฉบับแก้ไข 2565 ดังกล่าวข้างต้น

 

อย่างไรก็ตาม หากการออกมาพูดครั้งนั้นมี 'ผลิตภัณฑ์สุขภาพ' เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน และเข้าข่ายการโฆษณา จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานองค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีกฎหมายออกมารองรับในกรณีดังกล่าว 

โดย อย.ได้ระบุว่า ข้อความที่ไม่อนุญาตในการโฆษณาอาหาร รวมถึงการใช้ภาพที่สื่อให้เข้าใจได้ในความหมายเดียวกัน แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ

 

1. ข้อความที่สื่อแสดงสรรพคุณอันทำให้เข้าใจว่าสามารถบำบัด บรรเทา รักษา ป้องกัน โรคหรืออาการของโรคหรือความเจ็บป่วย ตัวอย่างเช่น

  • ลดโคเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเส้นเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน หลอดเลือดแข็งตัว ภูมิแพ้ หอบหืด
  • บรรเทาอาการปวดหัว ไมเกรน อาการชา บวมและเส้นเลือดขอด
  • แก้ปัญหาปวดประจําเดือน ประจําเดือนมาไม่ปกติ อาการตกขาว
  • ป้องกันหรือต่อต้านเชื้อโรค เช่น เชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ไข้หวัด แบคทีเรีย เป็นต้น

 

2. ข้อความที่สื่อแสดงให้เข้าใจว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย หน้าที่อวัยวะ หรือระบบการทำงานของร่างกาย ตัวอย่างเช่น

  • ปรับสมดุลให้ร่างกาย  ฟื้นฟูร่างกายหรืออวัยวะ
  • บํารุงสมอง บํารุงประสาท หรือบํารุงอวัยวะของร่างกาย
  • Detox / ล้างสารพิษ

 

3. ข้อความที่สื่อแสดงให้เข้าใจว่ามีสรรพคุณบำรุงกาม บำรุงเพศ หรือเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น

  • ช่วยบํารุงและเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ เสริมสร้างศักยภาพทางเพศ
  • เพิ่มขนาดอวัยวะเพศ ช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นาน - ลดอาการหลั่งเร็ว
  • อาหารเสริมสําหรับชาย/ หญิง
  • กระชับช่องคลอด
  • เพิ่มขนาดหน้าอก อัพไซส์

 

4. ข้อความที่สื่อแสดงให้เข้าใจว่ามีสรรพคุณเพื่อบำรุงผิวพรรณและความสวยงาม ตัวอย่างเช่น

  • ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดสิว ฝ้า กระ จุดด่างดํา ลดความมันบนใบหน้า
  • ผิวขาว กระจ่างใส นุ่มเด้ง เปล่งปลั่ง ออร่า
  • ชะลอความแก่
  • แก้ผมร่วง
  • กันแดด ท้าแดด

 

5. ข้อความที่สื่อแสดงให้เข้าใจว่ามีสรรพคุณในการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน หรือข้อความอื่นใดในทำนองเดียวกัน ตัวอย่างเช่น

  • ลดความอ้วน
  • ช่วยให้ระบายท้อง
  • สลายไขมันที่สะสมในร่างกาย ดักจับไขมัน
  • Block/ Burn/ Build /Break / Firm
  • การใช้ภาพสายวัด/ เครื่องชั่งน้ำหนัก/ กางเกง Over Size
  • ภาพ Before/ After
  • ไม่โยโย่

 

โดยเตือนว่า อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่กล่าวอ้างเกินจริง เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักลักลอบใส่ยาหรือสารที่เป็นอันตรายลงไป โดยเฉพาะการซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์

 

โดยบทลงโทษจะมีทั้งจำคุกและปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

นอกจากนี้ หากมีการปกปิดเจตนาแอบแฝงการโฆษณา เช่น รับเงินมาทำการโฆษณาแต่พูดเหมือนว่าไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ เป็นเพียงแค่ประสบการณ์ส่วนตัว อาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สุขภาพ พ.ศ.2565 มาตรา 42 ผู้โฆษณาต้องเปิดเผยให้ชัดเจนว่าเป็นการโฆษณา หากไม่ทำจะถือว่าเป็นการโฆษณาปกปิด มีบทลงโทษสูงสุดถึง 500,000 บาท

 

……

 

จะเห็นได้ว่าแม้ว่าประเทศไทยแม้จะมีกฎหมายในเรื่องการควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์  แต่ไม่ได้มีกฎหมายโดยตรงที่คัดกรองและควบคุมไม่ให้ ‘อินฟลูเอนเซอร์พูดเรื่องสุขภาพ’ เพราะถือว่าเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล และ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ยังไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ ‘กฎหมายสื่อ’ แต่อย่างใด

 

สวนทางกับสภาพสังคมที่ทุกวันนี้ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ กลับมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของประชาชนไทยเป็นอย่างมาก และน่าเสียดายที่คนไทยส่วนหนึ่งยังขาด Media Literacy หรือขาดการประเมินเนื้อหาโดยใช้วิจารณญาณ แต่ใช้วิธีการเลือกที่จะเชื่อตัวบุคคลมากกว่า

 

นี่จึงเป็นช่องทางแสวงหาโอกาสของ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ท่ามกลางสังคมที่ยังขาดมาตรการตรวจสอบอย่างรอบด้าน.

 

อ้างอิง

https://oryor.com/media/infoGraphic/media_printing/2077?ref=search

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้