'โบนัส' จากวัคซีน mRNA ผู้ป่วยรับก่อน 'บำบัดภูมิคุ้มกันโรคมะเร็ง' อาจมีชีวิตยาวขึ้น
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี ให้ข้อมูลประเด็นงานวิจัยเกี่ยวข้องกับวัคซีน mRNA ซึ่งพบว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด
จากการที่วารสาร Nature เปิดเผยผลงานวิจัย (วันที่ 22 ตุลาคม 2568) เกี่ยวข้องกับผลพลอยได้จากการได้รับวัคซี mRNA ซึ่งอาจช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตจากมะเร็งได้นานขึ้น
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกมาให้ข้อมูลในประเด็นดังกล่าวโดยละเอียดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย (Center for Medical Genomics) ดังนี้
โบนัสที่ไม่คาดคิดจากวัคซีน COVID-19: การเสริมประสิทธิภาพการรักษามะเร็ง
ผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีน mRNA ก่อนเริ่มการบำบัดภูมิคุ้มกันโรคมะเร็งมีชีวิตยืนยาวขึ้นอย่างมาก
วัคซีนชนิด messenger RNA (mRNA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ถูกค้นพบว่ามีศักยภาพที่น่าประหลาดใจในการเสริมประสิทธิภาพการต่อสู้กับเนื้องอกในผู้ป่วยมะเร็งได้ด้วย
โดยผลลัพธ์ที่ปฏิวัติวงการนี้มาจากรายงานการวิเคราะห์เวชระเบียนล่าสุดและการศึกษาในหนูทดลองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งถูกประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมระดับโลก European Society for Medical Oncology Congress (ESMO) ณ กรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2568 ท่ามกลางความสนใจจากแวดวงวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วโลก
ผลการวิเคราะห์ได้เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่าประทับใจอย่างชัดเจนว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับวัคซีน mRNA ในช่วงเวลาสำคัญที่กำหนดไว้อย่างเจาะจง ก่อนเริ่มต้นการรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด Checkpoint Inhibitors (ICIs) ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่มีกลไกในการปลดปล่อยระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถจดจำและโจมตีเซลล์มะเร็งได้
ยา ICIs เหล่านี้ทำงานโดยการปิดกั้นโปรตีนจุดตรวจ (Checkpoint Proteins) เช่น PD-1 หรือ PD-L1 ซึ่งมะเร็งใช้เป็น 'เกราะกำบัง' เพื่อหลบหนีการตรวจจับจาก T-cell โดยการวิเคราะห์พบว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ภายใน 100 วัน ก่อนการเริ่มยา ICI ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงสุดจากวัคซีน ทำให้การบำบัดแบบผสมผสานนี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เหนือกว่าการบำบัดด้วย ICI เพียงอย่างเดียว
ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้รับวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและทางคลินิกอย่างยิ่งยวด โดยความแตกต่างที่สังเกตได้นี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของเทคโนโลยี mRNA แต่ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ในการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของการรักษาโรคมะเร็ง แม้กระทั่งในกรณีที่วัคซีนนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต้านมะเร็งโดยเฉพาะตั้งแต่แรกก็ตาม
โปรตีนจุดตรวจ (Checkpoint Proteins) คือ โปรตีนควบคุม ที่มีอยู่บนผิวเซลล์ภูมิคุ้มกัน (โดยเฉพาะ T-cell) และเซลล์อื่น ๆ รวมถึงเซลล์มะเร็ง มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและปรับสมดุลการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน หน้าที่หลักของโปรตีนเหล่านี้คือการ "เบรก" หรือ "หยุด" การทำงานของภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเซลล์ปกติของร่างกายตัวเอง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease)
ในบริบทของโรคมะเร็ง โปรตีนจุดตรวจถูกใช้โดยเนื้องอกเป็นกลไกในการ "หลบหนี" การตรวจจับและการทำลายของระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- PD-1 (Programmed Death-1): เป็นโปรตีนรับสัญญาณ (Receptor) ที่มักอยู่บนผิวของเซลล์ T-cell (เซลล์เพชรฆาตของภูมิคุ้มกัน) PD-1 ทำหน้าที่เป็น "เบรกหลัก" ของ T-cell
- PD-L1 (Programmed Death-Ligand 1): เป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็น "กุญแจ" ที่ไปจับกับตัวรับ PD-1 โปรตีน PD-L1 นี้มักจะถูกสร้างขึ้นในปริมาณสูงบนผิวของเซลล์มะเร็งหลายชนิด
เมื่อ PD-L1 (จากเซลล์มะเร็ง) มาจับกับ PD-1 (จาก T-cell) จะเป็นการ "กดเบรก" หรือ "ปิดสวิตช์" การทำงานของ T-cell ทันที ทำให้ T-cell ไม่สามารถโจมตีและทำลายเซลล์มะเร็งได้ ถึงแม้จะรับรู้ว่าเซลล์นั้นผิดปกติก็ตาม
ยาภูมิคุ้มกันบำบัด (ICIs) เช่นที่กล่าวถึงในบทความ จะทำงานโดยการ "ปลดเบรก" กลไกนี้ โดยการใช้แอนติบอดีเข้าไปปิดกั้นการจับกันระหว่าง PD-1 และ PD-L1 ทำให้ T-cell ถูกปลดปล่อยและกลับมาทำงานเพื่อโจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง
"ข้อมูลชุดนี้เป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่ง" Ryan Sullivan แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งและภูมิคุ้มกันวิทยาจาก Massachusetts General Hospital กล่าวพร้อมเน้นย้ำ แม้ว่าการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจะเป็นการมองย้อนหลัง (Retrospective Analysis) ซึ่งมักจะถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องความเอนเอียงของข้อมูล แต่เขาระบุว่าความสัมพันธ์ระหว่างการฉีดวัคซีน COVID-19 กับการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นนั้น "สูงมาก" ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่สำคัญสู่การทดลองทางคลินิกในระยะต่อไป
กลไกสำคัญ วัคซีนทำหน้าที่เป็น "เสียงไซเรน" ของภูมิคุ้มกัน
เพื่อให้เข้าใจว่าเหตุใดวัคซีนที่ออกแบบมาต้านไวรัสจึงส่งผลดีต่อการต้านมะเร็ง ทีมวิจัยได้ลงลึกในระดับโมเลกุล หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่วัคซีนถูกออกแบบมารักษามะเร็งโดยตรง แต่อยู่ที่ผลกระทบจากการที่เทคโนโลยี mRNA เข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอย่างรุนแรง
mRNA ทำงานอย่างไร
เมื่อร่างกายได้รับ mRNA ที่แปลกปลอม (เช่น รหัสโปรตีนหนามของ COVID-19) ระบบภูมิคุ้มกันจะรับรู้ว่าเป็นการบุกรุกครั้งใหญ่ที่ต้องตอบสนองทันที จึงส่งสัญญาณเตือนภัยที่รุนแรงออกมาในรูปแบบของโปรตีน Type I Interferon ซึ่งเป็นโปรตีนเดียวกับที่ทำให้เกิดอาการไข้และปวดเมื่อยหลังฉีดวัคซีน
การสร้างสภาวะพร้อมรบ
ทีมวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า การกระตุ้นอันรุนแรงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Type I Interferon จะสร้างสภาวะที่พร้อมรบภายในสภาพแวดล้อมของเนื้องอก การหลั่งไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบในปริมาณสูงนี้เอง ที่เป็นกลไกสำคัญในการทำให้เซลล์มะเร็งตอบสนองได้ดีขึ้นต่อยาภูมิคุ้มกันบำบัด Checkpoint Inhibitors (ICIs) ซึ่งจะเข้ามาปลดล็อกระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเนื้องอกได้เต็มที่
การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
Type I Interferon ทำหน้าที่เหมือน "เสียงไซเรน" หรือ "สวิตช์เปิดเครื่อง" ที่ปลุกเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งหมดให้ตื่นตัวและพร้อมที่จะโจมตีเป้าหมายใหม่ โดยจะไปกระตุ้น เซลล์นำเสนอแอนติเจน (APCs) ให้ฝึก เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD8 T cells เพื่อมุ่งเป้าโจมตีแอนติเจนของเนื้องอก หลายชนิด เมื่อเซลล์มะเร็งพยายามหนีการโจมตีโดยการเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน PD-L1 ยา ICIs ที่ผู้ป่วยได้รับก็จะตรงเข้า ปิดกั้น สวิตช์ PD-L1 นี้ ทำให้การโจมตีของ T-cell ดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักฐานเชิงประจักษ์จากข้อมูลผู้ป่วย
เพื่อยืนยันแนวคิดเชิงกลไกนี้ Adam Grippin และเพื่อนร่วมงานจาก University of Texas MD Anderson Cancer Center ได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง (retrospective analysis) จากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์
ขอบเขตการศึกษา
การศึกษานี้ทบทวนข้อมูลของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดชนิด Non-Small Cell (NSCLC) และมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา กว่า 1,000 ราย (โดยเป็นจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด ICIs ที่ทีมวิจัยใช้เปรียบเทียบผลการรอดชีวิต)
การควบคุมคุณภาพข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังมีความท้าทายจากปัจจัยกวน แต่คณะผู้วิจัยได้ใช้มาตรการทางสถิติที่เข้มงวดหลายชั้น เช่น Propensity Score Matching (PSM) และ Cox proportional hazards regression เพื่อควบคุมตัวแปรกวนทางคลินิกที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์การรอดชีวิตถึง 39 ตัวแปร (เช่น ระยะของมะเร็ง สภาวะสุขภาพเดิม หรือการใช้สเตียรอยด์) ความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งและมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างการฉีดวัคซีนกับการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นนี้ยังคงอยู่หลังจากการควบคุมปัจจัยกวนอย่างละเอียดแล้ว
ผลลัพธ์ทางสถิติสำคัญ
ผลการวิเคราะห์พบว่า การได้รับวัคซีน COVID-19 ชนิด mRNA ภายใน 100 วัน ก่อนเริ่มการรักษาด้วย ICIs นั้นสัมพันธ์กับการรอดชีวิตโดยรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
1. มะเร็งปอดชนิด NSCLC ระยะลุกลาม
- อัตราการรอดชีวิตโดยรวมเฉลี่ย (Median OS) เพิ่มขึ้นจาก 20.6 เดือน เป็น 37.3 เดือน
- อัตราการรอดชีวิตที่ 3 ปี เพิ่มขึ้นจาก 30.6% เป็น 55.8%
2. มะเร็งผิวหนังเมลาโนมาที่แพร่กระจาย
- อัตราการรอดชีวิตโดยรวมเฉลี่ย (Median OS) เพิ่มขึ้นจาก 26.67 เดือน เป็น ค่าที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ (unmet) ซึ่งบ่งชี้ถึงผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม
- อัตราการรอดชีวิตที่ 36 เดือน เพิ่มขึ้นจาก 44.1% เป็น 67.5%
ที่สำคัญคือ ประโยชน์ของการรอดชีวิตยังคงมีอยู่แม้ในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกจัดว่าเป็น "เนื้องอกเย็น (immunologically cold tumors)" ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปกติจะตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันบำบัดได้น้อย นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ยังแสดงให้เห็นว่า วัคซีนที่ไม่ใช่ mRNA สำหรับไข้หวัดใหญ่หรือปอดอักเสบ ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
ศักยภาพและแนวโน้มในอนาคต
งานวิจัยในหนูทดลองก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่าวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ชนิดใดก็ได้อาจให้ผลคล้ายกัน Steven Lin หัวหน้าการวิจัยกล่าวว่า "ไม่สำคัญว่าคุณจะเข้ารหัสอะไร" แต่ mRNA ดูเหมือนจะเป็น "กุญแจสำคัญ" ในการกระตุ้นให้เกิดการหลั่ง cytokines และเตรียมพร้อมระบบภูมิคุ้มกันสำหรับการโจมตี
การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการเปิดประตูสู่การบำบัดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ไม่ตอบสนองต่อยาภูมิคุ้มกันบำบัดมาตรฐาน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอนุมัติอยู่แล้ว เช่น วัคซีน COVID-19 สามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันบำบัดได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำกว่าการพัฒนาวัคซีน mRNA ส่วนบุคคลที่มุ่งเป้าไปที่เนื้องอกโดยเฉพาะ
ผลการค้นพบนี้นับเป็นสัญญาณเร่งด่วนที่สนับสนุนความจำเป็นในการเดินหน้าสู่การทดลองทางคลินิกแบบไปข้างหน้า (prospective trial) เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยในอนาคต ทีมวิจัยยังคงมองโลกในแง่ดีว่าผลการค้นพบใหม่นี้จะดึงดูดความสนใจและการสนับสนุนจากผู้ให้ทุนรายอื่น แม้จะมีแรงกดดันทางการเมืองต่อเทคโนโลยี mRNA ก็ตาม "ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก"


