น่าชื่นชม! เรือกู้ภัยน้ำท่วมอัจฉริยะ ฝีมือคนไทย ส่งมอบศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)
น่าชื่นชม! เรือกู้ภัยน้ำท่วมอัจฉริยะ ฝีมืออาจารย์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ส่งมอบศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
KEY
POINTS
- เรือกู้ภัยน้ำท่วมอัจฉริยะเป็นนวัตกรรมฝีมือคนไทยโดยมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าและการสื่อสารให้แก่ผู้ประสบภัย
- ตัวเรือติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ สามารถจ่ายไฟชาร์จโทรศัพท์ได้ 120 เครื่อง มีระบบอินเทอร์เน็ต กล้อง และไฟส่องสว่างเพื่อการกู้ภัย
- ได้มีการส่งมอบเรือเพื่อใช้งานในพื้นที่ประสบภัยหลายจังหวัด และล่าสุดได้ส่งมอบให้กับศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ใน 6 พื้นที่ทั่วประเทศ
ที่มาของเรือกู้ภัยอัจฉริยะ!
“เรือกู้ภัยอัจฉริยะ” เป็นผลงานนวัตกรรมจากภูมิปัญญา ที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานในสังกัด อว. คือ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นพื้นที่ (บพท.) มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ (มนร.) โดยการสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.)
นวัตกรรมนี้ผลิตขึ้นโดยคณาจารย์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ (มนร.) นำโดยรองศาสตราจารย์ ดร.วสันต์ พลาศัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และนวัตกรรม และ ผู้ช่วยศาตราจารย์สมเกียรติ สุทธิยาพิวัฒน์ หัวหน้าโครงการแก้จนเร่งด่วนจากผลกระทบภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งถูกใช้งานจริงเป็นครั้งแรกในการกู้ภัยช่วยเหลือประชาชนจากภัยน้ำท่วมใหญ่เมืองนราธิวาส เมื่อปี 2566
เนื่องจากพบว่า ในคราวเกิดน้ำท่วม ประชาชนต้องประสบปัญหาทั้งในเรื่องการตัดขาดจากพลังงานไฟฟ้า จนไม่สามารถชาร์ตมือถือเพื่อสื่อสารและขอความช่วยเหลือได้ อีกทั้งยังประสบกับปัญหาด้านการติดต่อสื่อสาร เข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตมีความยากลำบาก รวมไปถึงไม่สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประการ แม้ว่าตัวเครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่เสียหาย เช่น หม้อหุงข้าว ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญ
คุณสมบัติที่เหมาะกับสภาพความเดือดร้อนของคนไทย
เรือกู้ภัยอัจฉริยะ ทำจากวัสดุอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ไม่จมน้ำ มีขนาดความยาว 2.90 เมตร กว้าง 1.10 เมตร รองรับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 290 กิโลกรัม ภายในเรือติดตั้งอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการกู้ภัยครบครัน ประกอบด้วย
- แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ สำหรับเก็บประจุไฟฟ้าเพื่อจ่ายไฟฟ้าป้อนแก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งในเรือได้ต่อเนื่องกัน 7.5 ชั่วโมง
- วายฟายเราเตอร์ 4 จี รองรับอินเทอร์เน็ตทุกเครือข่าย
- กล้องความละเอียดสูง พร้อมไฟแอลอีดีสำหรับบันทึกภาพในที่มืด
- สปอร์ตไลท์แอลอีดี ขนาด 120 วัตต์ จำนวน 4 ดวง เพื่อให้การค้นหาและกู้ภัยสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การเข้ามาของเรืออัจฉริยะ ได้รับเสียงสะท้อนที่ดีจากผู้ประสบภัย โดยตัวอย่างการใช้งานคือ ทำให้สามารถชาร์จโทรศัพท์ 120 เครื่องต่อหนึ่งการชาร์ต และเป็นระบบฟาสต์ชาร์จ นอกจากนี้ยังสามารถเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าพื้นฐานได้ เช่น หม้อหุงข้าว เครื่องทำน้ำร้อน อีกทั้งหน้าเรือมีกล้อง ที่สามารถบันทึกพฤติกรรมต่างๆ เพื่อหน่วยงานจะสามารถดึงข้อมูลไปวิเคราะห์ได้ รวมไปถึงการปักจุดเพื่อแจ้งพิกัดการช่วยเหลือก็ทำได้เช่นกัน
การต่อยอดในปัจจุบัน
หลังจากเหตุการณ์ในปี 2566 มีการใช้งานเรืออัจฉริยะต่อเนื่องในการกู้ภัยอีกหลายเหตุการณ์ในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาได้มีการจัดสรร “เรือกู้ภัยอัจฉริยะ” จำนวน 10 ลำ ส่งมอบไปใช้งานในจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พิษณุโลก สุโขทัย ชัยภูมิ สกลนคร
สำหรับในปี 2568 ได้เพิ่มกำลังการผลิตและส่งมอบไปใช้งานใน 6 พื้นที่ ได้แก่
- ศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ต.ท้ายสำเภา อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช
- ศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลาตอนบน ต.บ้านขาว อ.ระโนด จ.สงขลา
- ศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ต.พิมาน อ.นาแก จ.นครพนม
- ศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
- ศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ต.น้ำกุ่ม อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
- ศูนย์จัดการภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ต.เจดีย์ชัย อ.ปัว จ.น่าน


