ส่องแผนลดค่ายาจากอเมริกา TrumpRx เว็บไซต์ซื้อขายยาโดยตรงจาก ‘ทรัมป์’
ส่องแผนลดค่ายาจากอเมริกา TrumpRX เว็บไซต์ซื้อขายยาโดยตรงจาก ‘ทรัมป์’ กระทบถึงราคายาในประเทศไทยได้หรือไม่?
KEY
POINTS
- โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดตัวนโยบายและเว็บไซต์ TrumpRx.gov เพื่อแก้ปัญหาราคายาในสหรัฐฯ ที่สูงกว่าประเทศอื่นหลายเท่า
- แพลตฟอร์มนี้จะทำหน้าที่เป็นตลาดกลางให้ผู้บริโภคซื้อยาได้โดยตรงจากบริษัทยาในราคาที่ถูกลง โดยมีไฟเซอร์ (Pfizer) เป็นบริษัทแรกที่เข้าร่วม
- บริษัทยาที่เข้าร่วมจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แลกกับการลดราคายาบางรายการเฉลี่ย 50% โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีประกันและผู้ที่จ่ายเงินสด
- นโยบายดังกล่าวอาจส่งผลกระทบให้ราคายาที่นำเข้าในประเทศอื่น รวมถึงไทย แพงขึ้น เพื่อชดเชยส่วนลดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หรือไม่?
สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่เป็นเจ้าของนวัตกรรมการผลิตยารายสำคัญ และเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อย่างมหาศาลให้สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ออกมาอ้างว่าราคายาที่จำหน่ายในสหรัฐฯ มีราคาสูงกว่าประเทศอื่นมากๆ แม้ว่าจะมาจากโรงงานเดียวกัน
“เราได้ใช้เงินจำนวนมากเพื่อจะจัดหายาราคาถูกให้แก่ประเทศอื่น และเมื่อผมพูดว่าราคามันต่างกัน ก็สามารถเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนว่าราคายาบางอย่างสูงกว่าถึง 4-5 เท่า”
นั่นคือถ้อยแถลงหนึ่งที่ทางทำเนียบขาวได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา และทำให้ทรัมป์ ได้ประกาศข้อตกลงครั้งแรกกับบริษัทยารายใหญ่อย่าง ไฟเซอร์ (Pfizer) เพื่อปรับราคายาของอเมริกาให้สอดคล้องกับราคาที่ดีที่สุด ซึ่งทางบริษัทยาคิดกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้โครงการ Medicaid ของทุกรัฐ (โครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐสำหรับประชากรที่มีรายได้น้อยหรือกลุ่มเปราะบาง) สามารถเข้าถึงราคายาดังกล่าวนี้ของไฟเซอร์ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินได้หลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด ราคายาที่คนอเมริกันจ่ายสำหรับยาเหล่านี้สูงกว่าประเทศในองค์การความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) มากกว่า 3 เท่า แม้จะรวมส่วนลดที่ผู้ผลิตให้ในสหรัฐแล้วก็ตาม และ
สหรัฐฯ มีประชากรน้อยกว่า 5% ของโลก
แต่กลับสร้างรายได้เกือบ 75% ของกำไรจากบริษัทเภสัชกรรมทั่วโลก
จากเงินภาษีของประชาชนอเมริกัน
ในขณะที่ผู้ผลิตยาได้รับเงินสนับสนุนการวิจัยอย่างมากและการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขจากรัฐบาล แต่แทนที่จะส่งผลประโยชน์นี้ต่อผู้บริโภคอเมริกัน บริษัทกลับลดราคายาในต่างประเทศเพื่อเข้าถึงตลาดนั้น และเอาค่าใช้จ่ายส่วนต่างในสหรัฐมาชดเชย ซึ่งทรัมป์มอาเป็นการที่ประชาชนอเมริกันต้องอุดหนุนทั้งกำไรของบริษัทและระบบสาธารณสุขต่างประเทศ ทั้งในขั้นตอนการพัฒนาและเมื่อขายยาแล้ว
TrumpRx คืออะไร?
จากแนวคิดและนโยบายดังกล่าวของทรัมป์ ทรัมป์ได้เจรจากับบริษัทยาในสหรัฐอเมริกากว่า 17 แห่ง ใช้ทั้งมาตรการกดดันทางภาษีเพื่อให้บริษัทยาได้เข้าร่วมกับนโยบายดังกล่าว ซึ่งบริษัทไฟเซอร์เป็นบริษัทแรกที่จะเข้าร่วมแพลตฟอร์ม TrumpRx.gov
โดยมีเงื่อนไขที่จะลดราคายาบางตัวเพื่อขายให้ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะทำให้ไฟเซอร์ได้รับการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลา 3 ปี และบริษัทจะลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ คือผลิตในประเทศมากขึ้น ซึ่งยาบางกลุ่มได้ส่วนลดถึง 85% เฉลี่ยแล้วทุกตัวอยู่ที่ราว 50% และมีข้อตกลงบางรายการที่ยังเป็นความลับระหว่างรัฐบาลและบริษัท
สำหรับ TrumpRx.gov จะเป็นแพลตฟอร์มขายตรงจากบริษัทยาไปยังผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดคือ คนที่ไม่มีประกันและคนที่ใช้เงินสดในการรักษา โดยมีการประกาศยา 3 ตัวแรกที่จะได้รับการลดราคาเช่น ยาสำหรับโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ยารักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้ออักเสบสะเก็ดเงินและลำไส้อักเสบ และยาสำหรับรักษาไมเกรน
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มดังกล่าวจะเริ่มใช้ในต้นปี 2026 ที่จะถึงนี้
ยุติ MFN price ราคายาที่ประเทศอื่นจะต้องไม่เอาเปรียบราคายาในสหรัฐ ส่งผลกระทบไทย?
ในแถลงการณ์ดังกล่าวยังได้ระบุถึงข้อตกลงหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ
อย่างที่ได้เกริ่นไว้ว่าบริษัทยาในสหรัฐฯ หลายแห่ง เป็นผู้ผลิตยาที่สำคัญ ๆ ซึ่งถูกใช้ไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามการที่บริษัทยาอย่างไฟเซอร์ จะนำยาไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ได้นั้น บางประเทศจะเจอกับนโยบายควบคุมราคายา ซึ่งทำให้บริษัทผลิตยาต้องขายยาของตัวเองในราคาถูก
กลไกนี้จะทำให้บริษัทยาใช้วิธีการชดเชยส่วนที่เสียงไปจากการลดราคายาให้ต่างประเทศ โดยการขายยาที่สหรัฐฯ ในราคาสูงแทน ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ชาวอเมริกันต้องจ่ายยาราคาแพง ในขณะที่ประเทศอื่นซึ่งไม่ใช่เจ้าของนวัตกรรมกลับจ่ายยาในราคาที่ถูกกว่า
จึงเป็นข้อสังเกตว่า ‘ประเทศไทย’ อาจจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวหรือไม่? หากได้รับจะมากหรือน้อยเพียงใด เนื่องจากบริษัทยาในสหรัฐต้องปรับตัวกับนโยบายของทรัมป์ดังกล่าว และจะต้องขึ้นราคายาเพื่อชดเชยสัดส่วนที่เสียไปจากการดำเนินนโยบายของทรัมป์หรือไม่? นั่นคือสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป
การผลิตยาในประเทศไทยและตัวยานำเข้าจากต่างประเทศ
วิจัยกรุงศรี ในปี 2567 เปิดเผยมูลค่ายาที่ผลิตในประเทศไทยพบว่า ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศคิดเป็นสัดส่วน 29% ของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล โดยเป็นการจำหน่ายในโรงพยาบาลกว่า 80% คือโรงพยาบาลรัฐ 60% และโรงพยาบาลเอกชน 20%
โดยประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศราวร้อยละ 70 ของปริมาณยาที่ใช้ในประเทศ และพึ่งพาการผลิตยาในประเทศด้วยสัดส่วนราว 30% และยาส่วนใหญ่ที่ผลิตในประเทศจะเป็นยาสามัญ ที่ผลิตตามสูตรยาเดิมของต่างประเทศที่หมดสิทธิบัตรไปแล้ว!
กล่าวคือ หากเป็นยารักษาชนิดใหม่ๆ ประสิทธิภาพดี หรือโรคใหม่ ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศสูง โดยข้อมูลจาก OEC World ในปี 2023 พบว่า ไทยเป็นประเทศที่นำเข้ายาจากต่างประเทศตีเป็นมูลค่าในอันดับที่ 38 ของโลก โดยนำเข้าจากประเทศ สหรัฐอเมริกา สูงสุด ตามมาด้วยเยอรมัน ญี่ปุ่น อินเดีย และฝรั่งเศส
แต่ถ้าหากมองในมุมของปริมาณ ไทยนำเข้าจากอินเดียมากที่สุด รองลงมาคือปากีสถานและฟิลิปปินส์ ในที่นี่คือแม้ไทยจะนำเข้ายาจากสหรัฐแค่เพียง 0.5% แต่มูลค่าที่สหรัฐทำกำไรจากไทยนั้นกลับสูงที่สุด
ทั้งนี้ จากการศึกษาของธนาคารกรุงศรีฯ ในปี 2566 พบว่า บริษัทเภสัชกรรมเอกชนที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในไทย ได้แก่ โนวาร์ทิส ซึ่งเป็นบริษัทยาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์
แต่บริษัทยาที่ติด 10 อันดับในไทยนั้นมี 3 บริษัทที่เป็นบริษัทยาของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Pfizer รวมไปถึง Merck และ Johnson&Johnson
หันกลับมามองไทยนโยบายลดราคายาของโรงพยาบาลเอกชนของกระทรวงพาณิชย์
ตัวเลขของรายได้จากโรงพยาบาลเอกชนนั้น พบว่าจากการวิเคราะห์ของธนาคารกรุงศรีฯ
- รายได้จากการขายยาและเวชภัณฑ์คิดเป็น 35.2 % ของรายได้ทั้งหมด
- รองลงมาคือรายได้จากร้านอาหารร้านค้าภายในโรงพยาบาล รายได้จากสัญญากับบริษัทประกัน หรือจากบริการอื่นๆ ราว 22.6%
- ตามมาด้วยรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์อีก 20%
- และจากการทดสอบทางห้องปฏิบัติการและเอ็กซเรย์ 13.7%
อย่างไรก็ตามนโยบายการลดราคายา มีการควบคุมราคายาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้แล้ว ทาง นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวปัจจุบันสามารถทำได้อยู่แล้ว ในการที่สถานพยาบาลเอกชนต้องเปิดเผยราคายา โดยมีข้อกำหนดว่าสถานพยาบาลเอกชนจะต้องแจ้งราคาค่าบริการและค่ายาให้กับผู้รับบริการได้รับทราบ และให้สามารถดูได้ว่าบริการแต่ละประเภทมีค่าบริการเท่าไหร่
ซึ่งถ้าไม่แจ้งถือว่ามีความผิด ตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มีโทษทั้งจำและปรับ ส่วนของการไปซื้อยานอกรพ.นั้น มีมติของคณะกรรมการสถานพยาบาลให้สามารถทำได้ และเรื่องราคายา พ.ร.บ.นี้ไม่สามารถไปควบคุมเรื่องราคายาได้ เป็นไปตามกลไกตลาดภายใต้ควบคุมดูแลของกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ตุลาคมที่จะถึง ทางกระทรวงพาณิชย์จะมีนัดประชุมในประเด็นนี้กับผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง .. ซึ่งน่าจะเจาะจงไปที่การกำหนดราคากลางของยา ซึ่งอาจจะครอบคลุมยาหรือเวชภัณฑ์ที่ใช้บ่อย รวมไปถึงการระบุให้สามารถนำใบสั่งยาจากแพทย์ไปซื้อยาจากร้านขายยาข้างนอกได้
…
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายของไทย ยังมีเงื่อนไขที่กำหนดไม่ได้ เช่น ราคายาจากต่างประเทศที่เข้ามาสูงอยู่แล้ว ซึ่งกินส่วนแบ่งไปเรียบอยู่ที่หลักแสนล้านบาท!
ยกตัวอย่าง ยารักษามะเร็ง ซึ่งแต่ละปีมีมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งยาไทย มีส่วนแบ่งในตลาดนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยมีเจ้าใหญ่ คือ สหรัฐฯ นอกจากนี้ การบริหารจัดการราคายาของโรงพยาบาลเอกชน คิดเป็นค่าใช้จ่ายด้านยาเพียง 20% ของประเทศ
เพราะฉะนั้นการควบคุมราคายาของโรงพยาบาลเอกชนเป็นการช่วยประชาชนในระยะสั้น
แต่การมองปัญหาความยั่งยืนระยะยาวก็เป็นโจทย์สำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนในเรื่องของนวัตกรรมและการวิจัยด้านยาและการแพทย์ขั้นสูงใหม่ๆ ซึ่งต้องอาศัยนโยบายที่ต่อเนื่อง และการร่วมมือทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพราะเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูง!
มิเช่นนั้นไทยก็จะไม่สามารถควบคุมงบประมาณด้านสุขภาพได้มากนัก และยิ่งจะต้องเสียงบประมาณมากขึ้นในยุคที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ที่ต้องใช้ ‘ยา’ เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตเช่นนี้
ที่มา


