posttoday

ถอดบทเรียน 'บุรีรัมย์' พัฒนาแผนการแพทย์ฉุกเฉินภาวะเสี่ยงสงคราม อพยพผู้ป่วยใน 2 ชม.

15 กันยายน 2568

ถอดบทเรียน รพ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ พัฒนารูปแบบการแพทย์ฉุกเฉินภาวะเสี่ยงสงครามในพื้นที่ชายแดน อพยพผู้ป่วยรวดเร็วได้ภายใน 2 ชม.

KEY

POINTS

  • โรงพยาบาลละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ศึกษาและพัฒนาแผนการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อเตรียมรับมือภาวะเสี่ยงสงครามในพื้นที่ชายแดน
  • แผนดังกล่าวเน้นการเตรียมความพร้อม 4 ด้าน คือ ภายในโรงพยาบาล, การประสานงานข้ามหน่วยงาน, ระบบคัดแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และการซ้อมแผนอย่างสม่ำเสมอ
  • เมื่อเกิดสถานการณ์จริง แผนที่พัฒนาขึ้นทำให้สามารถอพยพผู้ป่วย 28 รายออกจากโรงพยาบาลได้สำเร็จภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง

งานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2568 มีการนำเสนอผลการศึกษาของโรงพยาบาลละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนในภาวะเสี่ยงสงคราม ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนเกิดเหตุ และเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้นจริงได้นำมาปรับใช้ ทำให้สามารถบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยมีรายละเอียดที่ควรจะถอดบทเรียน ดังนี้

 

ถอดบทเรียน 'รพ.ละหานทราย' รับมือภาวะเสี่ยงสงคราม

 

นพ.คิมธวัช นันตะวัน นายแพทย์ปฏิบัติการ โรงพยาบาลละหานทราย จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่าในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีความตึงเครียดตั้งแต่ช่วงปี 2568 ซึ่ง อ.ละหานทราย เป็น 1 ใน 7 พื้นที่เฝ้าระวังของจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้ทำการศึกษาและเตรียมแผนเผชิญเหตุใน 3 ส่วน คือ

 

1.  สภาพปัจจุบันและปัญหาของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน

จากการศึกษาพบว่าโรงพยาบาลละหานทรายยังมีข้อจำกัดหลายมิติ ทั้ง ด้านทรัพยากร โดยมีเตียงผ่าตัดจำกัด ไม่สามารถรองรับผู้บาดเจ็บจำนวนมากพร้อมกันได้ เวชภัณฑ์ เลือดสำรอง ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ รถพยาบาลหรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตขั้นสูงมีข้อจำกัดและมีสภาพเก่า

ด้านการประสานงานกับหน่วยงานกู้ภัยและหน่วยงานความมั่นคง ยังไม่เป็นระบบเดียวกันทำให้ล่าช้าหากเกิดเหตุ และมีการปฏิบัติงานซ้ำซ้อนในบางขั้นตอน และ ด้านความพร้อมของบุคลากร ยังมีจำนวนน้อยและขาดการอบรมเฉพาะทาง

 

2. การพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนในภาวะเสี่ยงสงครามให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่

แบ่งเป็น 4 องค์ประกอบ คือ

 

  • การเตรียมความพร้อมภายในโรงพยาบาล

จัดทำเตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน ครอบคลุมสถานการณ์ปะทะและสู้รบ, เตรียมพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล จัดเวรสำรอง อบรมทักษะการแพทย์ฉุกเฉิน, สำรองทรัพยากร เวชภัณฑ์ เลือด ห้องผ่าตัด เตียงฉุกเฉิน และจัดตั้งทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ในภาวะภัยพิบัติ สาธารณภัยระดับอำเภอ (Mini MERT)

 

  • การประสานงานข้ามหน่วยงานในระดับอำเภอ

ตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์เชื่อมโยงกับ PHEOC เขตสุขภาพที่ 9, ตั้งหน่วยงานประสานงานกับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กู้ภัย ในการจัดการพื้นที่เกิดเหตุ, จัดทำช่องทางสื่อสารกลางลดความซ้ำซ้อน และมีแผนการอพยพและลำเลียงผู้ป่วยจากโรงพยาบาลละหานทรายไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย

 

  •  จัดระบบคัดแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย

จัดเป็น 4 ระดับ คือ รุนแรง (แดง) ปานกลาง (เหลือง) เล็กน้อย (เขียว) และเสียชีวิต (ดำ) ตามมาตรฐานสากล  กำหนดจุดคัดแยกใกล้พื้นที่ปลอดภัย กำหนดเส้นทางเคลื่อนย้ายและใช้รถพยาบาล/รถกู้ชีพหลายระดับร่วมกับทหาร พร้อมผังการทำงานและแบบเช็คลิสต์สำหรับเจ้าหน้าที่ เพื่อความชัดเจนลดความสับสน

 

  • การฝึกซ้อมจำลองร่วมกับหน่วยงานต่างๆ

ทั้งการฝึกซ้อมในห้องประชุม ฝึกเฉพาะบทบาท ฝึกสถานการณ์จำลองจริงในพื้นที่ และสรุปผลหลังการซ้อมเพื่อนำไปปรับปรุงแผน

 

3.การประเมินผลรูปแบบ

จากการศึกษาพบว่า รูปแบบที่พัฒนาสอดคล้องกับแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ (สมช. 2560-2564) ซึ่งกำหนดการแพทย์และสาธารณสุขเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักด้านความมั่นคง และตรงกับแนวทางของเขตสุขภาพที่ 9 จากการทดลองฝึกซ้อมพบสามารถปฏิบัติได้จริง เหมาะสมกับพื้นที่ ผู้เข้าร่วมฝึกซ้อมมีความพึงพอใจระดับสูง

ทั้งนี้ การประสานงานข้ามหน่วยงานถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยการเชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาล ทหาร หน่วยกู้ภัย ฝ่ายปกครอง ทำให้การตอบสนองเป็นระบบเดียว สามารถลดความล่าช้า ซึ่งสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกที่พบว่า การใช้ระบบบัญชาการเหตุการณ์ (ICS) และการซ้อมร่วมกันสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้

 

 นพ.คิมธวัช กล่าวว่า "ภายหลังการศึกษา 1 เดือน ได้เกิดสถานการณ์ขึ้นจริงและได้ใช้การตอบโต้ภาวะฉุกเฉินตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น โดยมีการอพยพผู้ป่วย 28 รายออกจากพื้นที่ ตามแนวทางการคัดแยก 4 ระดับ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ก็สามารถส่งผู้ป่วยรายสุดท้ายออกจากโรงพยาบาลได้ รวมทั้งมีการจัดทีม Mini MERT 2 ทีม ที่โรงพยาบาลประโคนชัย และโรงพยาบาลนางรอง ส่วนบุคลากรอื่นๆ ได้ประจำการที่ศูนย์พักพิงสนามช้างฯ โดยเปิดให้บริการในรูปแบบผู้ป่วยนอก ดูแลประชาชนที่อพยพมากกว่า 15,000 ราย"

 

 

ภาพรวมความเสียหายจากเหตุสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

 

นพ.สามารถ ถิระศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการบริหารจัดการทางการแพทย์และสาธารณสุขของเขตสุขภาพที่ 9 รองรับสถานการณ์ภัยสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ในงานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2568 ว่า

สถานการณ์เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และมีเหตุปะทะอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมถึงหน่วยบริการสาธารณสุข โดย จ.บุรีรัมย์ ปิดบริการ 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลประโคนชัย และโรงพยาบาลบ้านกรวด ส่วน จ.สุรินทร์ ปิดบริการ 4 แห่ง คือ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โรงพยาบาลกาบเชิง โรงพยาบาลสังขะ และโรงพยาบาลปราสาท

 

สถานการณ์ดังกล่าวสร้าง มูลค่าความเสียหายรวม 114.7 ล้านบาท  แบ่งเป็น

  • ด้านโครงสร้าง 45 ล้านบาท
  • ด้านบุคลากร 25.5 ล้านบาท
  • อุปกรณ์/เครื่องมือ 1.45 ล้านบาท
  • งบประมาณที่สูญเสียอีก 42.7 ล้านบาท

 

มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมทั้งกำหนดแผนการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน 5 ระดับ โดยใช้แผนระดับ 2 รับมือสถานการณ์ ได้แก่ กำหนดจุดปลอดภัยในพื้นที่ วางแผนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ เตรียมพร้อมเรื่องเตียง ยา เวชภัณฑ์ โลหิต จัดทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงทีม Sky Doctor เพื่อลำเลียงผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ จัดระบบดูแลสุขภาพในศูนย์พักพิงทั้งการรักษาพยาบาล สุขาภิบาล และสุขภาพจิต

นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนฟื้นฟูด้านสาธารณสุขหลังสงคราม ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น 1-4 สัปดาห์ ระยะกลาง 1-6 เดือน และระยะยาว 6 เดือน - 2 ปี

ข่าวล่าสุด

สีหศักดิ์ แถลง โต้ ทรัมป์ ยันไม่ได้ตอบโต้เกินเหตุ ปม ไทย-กัมพูชา