สปสช.เพิ่มสิทธิบัตรทอง ‘หัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน’ หรือ TAVI
รู้จัก TAVI หัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน ในผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในสิทธิบัตรทองล่าสุดจากสปสช.
สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) รายงานว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมถึงโรคลิ้นหัวใจ ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี
หนึ่งในโรคหัวใจที่สำคัญคือ โรคลิ้นหัวใจ ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อลิ้นหัวใจ โดยหลัก ๆ แล้วคือภาวะลิ้นหัวใจตีบ (stenosis) หรือลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation)
นอกจากนั้นยังมีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ซึ่งเป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจแคบลงจนขัดขวางการไหลของเลือดจากหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงอาจมีอาการเหนื่อยผิดปกติ แน่นหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้ามืดเป็นลม หรือขาบวม อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณให้ต้องไปพบแพทย์
อย่างไรก็ตาม ยังมีภัยเงียบที่น่ากังวลนั่นก็คือ ผู้ป่วยภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงถึง 33–50% ไม่มีอาการใดๆ ในขณะที่ได้รับการวินิจฉัยโดยการวินิจฉัยประกอบด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและความเร่งด่วนในการรักษา
ในขณะเดียวกันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ เพราะบางอาการคล้ายกับโรคอื่นๆ เช่น โรคปอด โรคเส้นเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน
หลายคนคิดว่าอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก เป็นเรื่องปกติของผู้สูงอายุ คนทำงานหนัก หรือผู้ที่มีความเครียด ทำให้ไม่ได้สงสัยว่าเป็นสัญญาณอันตราย เกิดความเข้าใจผิดและไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
รู้จักกระบวนการรักษาโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ มีอะไรบ้าง?
รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวถึงกระบวนการรักษาว่า การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจถือเป็นแนวทางการรักษามาตรฐาน (gold standard) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรง
ข้อดีของการผ่าตัดคือการฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ ผลวิจัยยังชี้ว่าการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมได้ โดยทุกวันนี เทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยทำให้การผ่าตัดลิ้นหัวใจปลอดภัยยิ่งขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะการผ่าตัดแผลเล็ก (minimally invasive) และการใช้กล้องส่อง (endoscopic) ที่ช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว เจ็บน้อย และลดระยะเวลาพักในโรงพยาบาล
การเปลี่ยนลิ้นหัวใจใช้ลิ้นหัวใจเทียมได้สองประเภท คือ ชนิดเนื้อเยื่อ (bioprosthetic) หรือชนิดโลหะ (mechanical)
'ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อ' ซึ่งทำจากเนื้อเยื่อเยื่อหุ้มหัวใจวัวหรือลิ้นหัวใจหมู มีลักษณะและการทำงานใกล้เคียงกับลิ้นหัวใจธรรมชาติ และที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต ทำให้เหมาะสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออก หรือผู้ที่ไม่สามารถจัดการการใช้ยาได้ แม้ลิ้นหัวใจชนิดนี้จะมีอายุใช้งานประมาณ 10–20 ปี ซึ่งทำให้ผู้ป่วยอายุน้อยอาจต้องเปลี่ยนซ้ำ
แต่ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อรุ่นใหม่มีความทนทานมากขึ้น ก็ถือเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้ยาวนานและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตหลังการผ่าตัดได้ดีขึ้น
สำหรับ ‘ลิ้นหัวใจชนิดโลหะ’ (Mechanical valve) ผศ.นพ.ชนาพงษ์ กิตยารักษ์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้ข้อมูลไว้ว่า มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า อาจใช้งานได้ตลอดชีวิตโดยที่ไม่ต้องผ่าตัดซ้ำ แต่มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือดไปตลอดชีวิต และต้องรับการตรวจค่าการแข็งตัวของเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลิ้นหัวใจสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
TAVI ส่วนสำคัญที่จะกำหนดอนาคตแนวทางการรักษาโรคลิ้นหัวใจ
รศ.นพ.ปรัญญา กล่าวว่า นอกจากแนวทางการรักษามาตราฐานด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกโดยผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation - TAVI) เป็นหัตถการแผลเล็กที่สอดลิ้นหัวใจใหม่เข้าไปผ่านสายสวน ซึ่งมักทำผ่านหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ TAVI ได้รับการแนะนำเป็นหลักสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัดเปิดหน้าอก และยังเปิดโอกาสให้สามารถทำหัตถการแบบ Valve-in-Valve ในอนาคตได้อีกด้วย
ทั้งนี้ การเลือกลิ้นหัวใจเทียมในครั้งแรก ส่งผลต่อทางเลือกการรักษาในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากสตรีวัยเจริญพันธุ์ได้รับลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อ อาจมีอายุยืนยาวกว่าอายุการใช้งานของลิ้นหัวใจนั้น ดังนั้น การวางแผนเผื่อการทำหัตถการ TAVI แบบ Valve-in-Valve ในอนาคต จึงกลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา
ดั้งนั้น ปัจจุบันจึงนิยมนำหลัก 'การบริหารจัดการตลอดช่วงชีวิต' (Lifetime Management) มาใช้ ซึ่งต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา (Heart Team) และการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วย ปัจจัยสำคัญได้แก่
- อายุของผู้ป่วย เพื่อประเมินอายุขัยและโอกาสที่ลิ้นหัวใจจะเสื่อมในอนาคต
- สุขภาพโดยรวมและโรคร่วม เพื่อประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการฟื้นตัว
- กายวิภาคของหัวใจและลิ้นหัวใจ ซึ่งมีผลต่อการเลือกชนิดและขนาดของลิ้นหัวใจ และความเป็นไปได้ในการทำ Valve-in-Valve TAVI
- ความพร้อมของศูนย์การแพทย์ เทคโนโลยี และประสบการณ์ของทีมศัลยแพทย์ เนื่องจากหัตถการขั้นสูงต้องใช้ทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญสูง
ท้ายที่สุดแล้ว แผนการรักษาจะถูกกำหนดผ่านการตัดสินใจอย่างรอบด้านระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพที่ยั่งยืน
ความคืบหน้าการผลักดันสิทธิประโยชน์การผ่าตัดลิ้นหัวใจของ สปสช.
สำหรับฝั่งสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธาน มีมติเห็นชอบ การกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 2 รายการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ชุดอุปกรณ์ในการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation หรือ TAVI) ในผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง (Severe Symptomatic Aortic Stenosis)
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ชุดอุปกรณ์ในการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง ที่เป็นผู้สูงอายุ หรือมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยการผ่าตัด หรือไม่เหมาะที่จะเข้ารับการผ่าตัดแบบเปิด เพราะการฟื้นตัวหลังรักษาช้ากว่าการรักษาด้วยการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน
ทั้งนี้ การพิจารณาเพิ่มรายการอุปกรณ์ในการทำหัตถการใส่ลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวนนี้ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณามาตั้งแต่ปี 2565 แต่ขณะนั้นการประเมินความคุ้มค่าตามประสิทธิผลต้นทุนพบว่ายังไม่คุ้มค่า เนื่องจากราคายังสูง คือประมาณ 6 - 8 แสนบาทต่อชุด
อย่างไรก็ดี ด้วยอุปกรณ์ดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบระยะรุนแรง ทาง สปสช. จึงมอบหมายให้ สปสช. ทำการต่อรองราคากับบริษัทผู้ผลิต เพื่อให้ได้ราคาที่ลดลงมาอยู่ในระดับที่มีความคุ้มค่า โดยคำนึงถึงคุณภาพอุปกรณ์และบริการเป็นสำคัญ จนในที่สุดสามารถต่อรองได้ในจุดที่มีความคุ้มค่าคือประมาณ 3 แสนบาทต่อชุด
คุณสมบัติเข้าเกณฑ์ที่จะสามารถรับสิทธิประโยชน์นี้ ได้แก่
- พื้นที่เปิดของลิ้นหัวใจเอออร์ติก น้อยกว่า 1 ตารางเซนติเมตร
- ค่าความดันเฉลี่ยผ่านลิ้นหัวใจมากกว่า 40 มิลลิเมตรปรอท (ต้องเข้าเกณฑ์ทั้ง 2 ข้อ)
นอกจากนี้ ต้องเข้าคุณสมบัติเพิ่มเติมอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
- เป็นผู้ป่วยที่อายุเกิน 80 ปี หรือ
- ค่าการประเมินความเสี่ยงการเสียชีวิตจากการผ่าตัดด้วยแบบจำลอง STS Score มากกว่าหรือเท่ากับ 8% หรือ
- ผู้ป่วยได้รับการประเมินโดยคณะทำงาน Heart Team ว่าไม่เหมาะสมต่อการผ่าตัดแบบเปิด เช่น มีภาวะ Porcelain aorta, มีประวัติการฉายรังสีบริเวณทรวงอก, เคยได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG) โดยยังมีหลอดเลือด LIMA-LAD ที่ทำงานอยู่


