นวัตกรรม 'HNS' ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยที่ไม่อยากใส่ CPAP
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เผย นำนวัตกรรม 'HNS' หรือ 'การกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้น' มาใช้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับที่ไม่สามารถใส่ CPAP ได้!
KEY
POINTS
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เสนอนวัตกรรม HNS (Hypoglossal Nerve Stimulation) เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้
- HNS เป็นเทคโนโลยีการฝังอุปกรณ์ใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้นขณะหายใจเข้า ช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดโล่งโดยไม่ต้องสวมหน้ากาก
- นวัตกรรมนี้ผ่านการรับรองจาก อย. ไทยแล้ว มีผลวิจัยยืนยันว่าสามารถลดจำนวนครั้งการหยุดหายใจและลดเสียงกรนได้อย่างมีนัยสำคัญ
- เหมาะสำหรับผู้ป่วยอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับระดับปานกลางถึงรุนแรง และไม่สามารถทนต่อการใช้เครื่อง CPAP ซึ่งต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
CPAP เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ป่วยโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ และหลายคนจะพบกับปัญหาการใส่ขณะหลับที่อาจรบกวนตอนนอน หรือต้องหอบหิ้วไปขณะเดินทางไปต่างประเทศ จนทำให้ผู้ป่วยกว่า 50% ไม่สามารถใช้ CPAP ได้
ล่าสุด! วันนี้ (22 สิงหาคม 2568) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้แถลงการนำนวัตกรรมล่าสุด ได้แก่ การกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้น (Hypoglossal Nerve Stimulation: HNS) หรือ “Inspire” เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับแล้วหลังจากนวัตกรรมตัวนี้ได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) เมื่อปี พ.ศ. 2567
ทำความรู้จัก HNS นวัตกรรมทางเลือกใหม่ของผู้ป่วยโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ
ศ.นพ. ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ แพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก และโสต ศอ นาสิกวิทยาการนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้ข้อมูลว่า
“การรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับมีหลายวิธี เช่น การใช้เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ซึ่งเป็นเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกที่ช่วยดันลมเข้าไปเปิดหลอดลมให้กว้างออก เป็นวิธีหลักที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน แต่ยังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถทนใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากความรู้สึกอึดอัดจากการสวมหน้ากาก หรือมีข้อจำกัดอื่นๆ"
โดยพบว่าผู้ป่วยกว่าครึ่งหนึ่งไม่สามารถใส่ CPAP ได้ ทั้งนี้ นวัตกรรม HNS จึงเข้ามาเป็นอีกทางเลือกที่จะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากจุดเด่นของ HNS คือ เป็นการฝังอุปกรณ์การทำงานจากภายในร่างกาย โดยไม่ต้องสวมหน้ากากหรือเป่าลม ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวและไม่รบกวนการนอนหลับ
อีกทั้งยังทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ป่วยหายใจเข้า อุปกรณ์จะส่งสัญญาณกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้นเพื่อให้กล้ามเนื้อลิ้นตึงตัวและขยับไปด้านหน้า ช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดโล่งได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังควบคุมการเปิด-ปิดได้ง่ายด้วยรีโมทคอนโทรล
สำหรับนวัตกรรมนี้มีมากว่า 15 ปีแล้วเริ่มต้นที่ประเทศยุโรป ก่อนที่จะได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งปัจจุบันถูกนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทั่วโลกแล้วกว่า 100,000 ราย
“ผลการวิจัยทางคลินิกที่สำคัญอย่าง STAR Trial (Stimulation Therapy for Apnea Reduction) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ชั้นนำ The New England Journal of Medicine ยืนยันว่าการรักษาด้วย HNS ช่วยลดจำนวนครั้งของการหยุดหายใจได้จากเฉลี่ย 29.3 เหลือเพียง 9 ครั้งต่อชั่วโมง พร้อมทั้งช่วยให้อาการง่วงกลางวันดีขึ้นและคงที่ในระยะยาว
อีกทั้งมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่ำกว่า 2% และอัตราการถอดอุปกรณ์ออกน้อยกว่า 2% ภายใน 2 ปี นอกจากนี้ยังพบว่ามากกว่า 90% ของคู่ชีวิตผู้ป่วยรายงานว่าเสียงกรนลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับผลการติดตามผู้ป่วยของบำรุงราษฎร์ ที่ทุกคนรายงานว่ารู้สึกสดชื่นและมีพลังในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” ศ.นพ. ชัยรัตน์ ระบุ
HNS เหมาะกับผู้ป่วยแบบใด
- ไม่สามารถใส่ CPAP ได้ (50% ของผู้ที่ไม่สามารถใส่ CPAP ได้)
- อายุมากกว่า 18 ปีเท่านั้น
- ต้องมีระดับการหยุดหายใจที่ปานกลางถึงรุนแรง ค่า Apnea-Hypopnea Index (AHI) อยู่ระหว่างประมาณ 15–100 ครั้ง/ชั่วโมง
- ค่า BMI อยู่ที่ 40 kg/m²
- ต้องผ่านการตรวจส่องกล้องขณะหลับ (Drug-Induced Sleep Endoscopy: DISE)
- ไม่มีโรคทางระบบประสาท
- ผ่านการประเมินโดยแพทย์เฉพาะทาง
วิธีการใส่อุปกรณ์ต้องผ่าตัดขนาดเล็ก
นพ. วิชพันธ์ เหมรัญช์โรจน์ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก การผ่าตัดเนื้องอกและมะเร็งศีรษะและคอ และการผ่าตัดไซนัส โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวถึงรายละเอียดการผ่าตัดว่า การผ่าตัดเพื่อฝังอุปกรณ์จะเป็นการทำงานร่วมกับทีมงานสหสาขาวิชาชีพ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
โดยจะเริ่มจากการฝังอุปกรณ์ 3 ส่วนหลักใต้ผิวหนัง ได้แก่ ตัวกระตุ้น (Pulse Generator) บริเวณหน้าอกด้านบนข้างขวา สายตรวจจับลมหายใจ (Sensing Lead) บริเวณซี่โครง และสายกระตุ้น (Stimulation Lead) บริเวณเส้นประสาทใต้ลิ้น ด้วยแผลขนาดเล็กเพียง 2-5 เซนติเมตร ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1 วัน ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2-4 สัปดาห์
นอกจากนี้ โรงพยาบาลฯ ยังมีระบบติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยทีมแพทย์จะร่วมกันวางแผนการดูแลเฉพาะรายอย่างเหมาะสม ซึ่งหลังจากการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการนัดหมายเพื่อตรวจประเมินผลและเปิดใช้งานอุปกรณ์ได้ใน 1 เดือน พร้อมทั้งปรับค่าการกระตุ้น (Stimulation Settings) โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืนในระยะยาว
โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ ภัยเงียบที่นำไปสู่โรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่า
พญ. ดารกุล พรศรีนิยม แพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยาและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวถึงโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับว่า โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านการนอน แต่คือภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของผู้คนทั่วโลก จากข้อมูลวารสาร The Lancet Respiratory Medicine ปี ค.ศ. 2019 พบผู้ป่วยทั่วโลกสูงถึง 936 ล้านคน ในประเทศไทย ได้มีการประเมินว่าชายวัยกลางคนกว่า 20-30% และหญิงโดยเฉพาะวัยใกล้หมดประจำเดือน 10-15% อาจมีภาวะนี้โดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ยังพบภาวะดังกล่าวในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ หลอดเลือดสมอง สมองเสื่อม พาร์กินสัน ฯลฯ อย่างเช่นโรคความดันโลหิตสูงจะมีภาวะเป็นโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับเกินกว่า 70%
"โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับเกิดจากการที่กล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนต้นหย่อนตัวขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและสมองต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การนอนที่ไม่ดีเท่านั้น แต่ยังทำลายคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ทั้งทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงระหว่างวัน ประสิทธิภาพการทำงานและความจำลดลง รวมถึงส่งผลต่ออารมณ์ที่แปรปรวนง่าย อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เช่น การหลับในขณะขับขี่ และอาจรบกวนความสัมพันธ์ในชีวิตคู่จากการกรนเสียงดังได้"
สำหรับผลในระยะสั้น จะทำให้นอนไม่เต็มที่ ง่วงในเวลากลางวัน สมาธิและความจำลดลง อารมณ์แปรปรวน และกรนเสียงดังจนรบกวนความสัมพันธ์ ในขณะที่ผลในระยะยาวอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงโรคหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ในระยะยาว มะเร็งบางชนิด รวมถึงเพิ่มความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
ทั้งนี้ พญ.ดารกุล พรศรีนิยม ยังให้สัญญาณเตือนว่าตนเองอาจจะเป็นโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับได้ เช่น
- หยุดหายใจหรือหายใจสะดุดขณะหลับ
- ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน
- กัดฟันตอนหลับ
- นอนไม่หลับตื่นบ่อย
- ตื่นมาไม่สดชื่น
- ปวดศีระษะ ปากแห้ง คอแห้ง เจ็บคอตอนเช้า
- ง่วง อ่อนเพลียกลางวัน
- สมาธิ ความจำลดลง อารมณ์ไม่ดี
โดยแนะนำว่าหากสังเกตความผิดปกติดังกล่าวควรมาพบแพทย์ ซึ่งแพทย์อาจจะแนะนำให้ทำ Sleep Test เพื่อคัดกรองหรือวินิจฉัยต่อไป.


