ความเข้าใจเรื่อง "หมอบี" และ “ธุรกิจการบริจาค” ในสังคมไทย
สำรวจอุตสาหกรรมการกุศลยุคใหม่ ใช้ผู้ระดมทุนมืออาชีพและแพลตฟอร์มดิจิทัล ดึงกลยุทธ์การตลาด-ข้อมูล สร้างผลลัพธ์เกินกว่าการทำบุญแบบเดิม ผ่านเรื่องราวของ "หมอบี' เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล
KEY
POINTS
- กรณี 'หมอบี' สะท้อนความขัดแย้งระหว่างการทำบุญแบบดั้งเดิมกับ “ธุรกิจการบริจาค” ที่สังคมไทยยังไม่เข้าใจ เพราะไม่มีอย่างชัดเจนแต่แรก และยังไม่มีกฎหมายรองรับ
- ในต่างประเทศมีอาชีพ “ผู้ระดมทุนมืออาชีพ” ที่หักค่าดำเนินการเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ตามกฎหมาย โดยเน้นความโปร่งใสและมีหน่วยงานกำกับ
- ประเทศไทยขาดกรอบกฎหมายและมาตรฐานควบคุมธุรกิจการบริจาค ทำให้เกิดความสับสนและข้อโต้แย้งเมื่อเกิดปัญหาเรื่องความโปร่งใสของเงินบริจาค
อ่านเพจ ‘ปราย พันแสง นักเขียนรุ่นใหญ่อธิบายเกี่ยวกับธุรกิจการกุศลในหลายประเทศของโลกให้ฟังได้อย่างกระจ่างแจ้ง จากกรณีเรื่องอื้อฉาวของ "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" หรือในชื่อจริงนายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล กับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดสระบุรี ที่เกี่ยวข้องกับเงินบริจาคนับหลายร้อยล้านบาท และจากที่มีข่าวระบุการแบ่งสัดส่วนเงินบริจาคแบบ 70:30 ระหว่างวัดและหมอบีเป็นระยะเวลาหลายปี นับตั้งแต่ปี 2562 เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยกับการบริจาคในนามของ "การทำบุญ" ผ่านวัด ไม่เพียงแต่วัดนี้ แต่เชื่อว่าอีกหลายวัดในประเทศไทยยังมีอะไรที่ไม่โปร่งใสแบบนี้เกิดขึ้นและยังดำเนินอยู่ และยังมีคนไทยอีกมากมายที่ไม่เข้าใจและไม่เคยชินกับธุรกิจการบริจาคแบบนี้ ในขณะที่สังคมส่วนหนึ่งเชื่อว่า “เงินบริจาค” สามารถทำให้โปร่งใสได้ หากมีกรอบกติตาชัดเจนตั้งแต่แรกระหว่างวัดผู้รับบริจาค คนกลาง (Fundraiser) และผู้บริจาคทาน (คนทำบุญ)...
โดยเฉพาะเมื่อ ‘ปราย พันแสงบอกว่า คนที่หาเงินให้มูลนิธิหรือองค์กรการกุศลแล้วกินหัวคิวเป็นเปอร์เซ็นต์ลักษณะนี้ (ในสหรัฐอเมริกา หรือ ยุโรป) เป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย โดยมีชื่อเรียกว่า Professional Fundraiser หรือที่เรียกกันว่า “ผู้ระดมทุนมืออาชีพ”
หากแต่ประเทศไทยยังไม่มีอะไรแบบนั้น…เราจึงต้องมาทำความรู้จักสิ่งที่เรียกว่า "ผู้ระดมทุนมืออาชีพ" กัน ซึ่งตอนนี้น่าจะมีอยู่เยอะแยะมากมายในสังคมไทย ที่มีชื่อเสียงและเคลื่อนไหวอยู่ในทุกๆ วันตามเพจและวัดต่างๆ คำถามคือ พวกเขาเหล่านี้มีความโปร่งใสแค่ไหน มีอะไรควบคุม? แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น โพสต์ทูเดย์ชวนมาทำความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับ “อุตสาหกรรมการกุศลแบบใหม่” ในประเทศอื่นๆ กันก่อน ว่าเขาทำงานกันอย่างไร และมีความโปร่งใสแค่ไหน เพื่อควบคุมเงินบริจาคจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทางในโลกยุคดิจิทัล
คุณ'ปราย เล่าถึง การเกิดของ “อุตสาหกรรมการกุศลแบบใหม่” ที่เรียกว่า Professional Third-Party Fundraising Industry หรือ Modern Charity Business Model ที่แตกต่างจากการทำบุญแบบดั้งเดิม
โดยระบุว่า หมอบีทำหน้าที่เป็นตัวกลางมืออาชีพในการระดมทุน มีทีมงาน มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ตั้งแต่การจ้างพนักงาน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าระบบเทคโนโลยี ค่าประชาสัมพันธ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นในการสร้างเครือข่ายการกุศลขนาดใหญ่ การหัก 30% จากเงินบริจาคเพื่อเป็นค่าดำเนินงานจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติในแวดวงการกุศลยุคใหม่
หากมองตามมาตรฐานองค์กรการกุศลสากล การหักค่าดำเนินงาน 30% ถือเป็นอัตราที่อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ Better Business Bureau แนะนำให้ไม่เกิน 35% ส่วน Charity Navigator ให้เครดิตเต็มกับองค์กรที่ใช้งบประมาณ 70% ในโครงการหลัก
องค์กรการกุศลชื่อดังระดับโลกก็มีอัตราการหักที่คล้ายคลึงกัน เช่น UNICEF USA ที่หักค่าดำเนินงาน 11.6% (3% บริหาร + 8% ระดมทุน) ส่วนใหญ่ 88.4% ไปช่วยเหลือเด็กโดยตรง องค์กรที่ถูกจัดอันดับว่า “มีประสิทธิภาพสูง” โดย CharityWatch จะหักไม่เกิน 25% ในขณะที่องค์กรการกุศลทั่วไปหักได้ 15-35% ขึ้นอยู่กับประเภทงาน องค์กรด้านอาหารและความช่วยเหลือมนุษยธรรมมักหักต่ำกว่า 15% ส่วนองค์กรด้านศิลปะและวัฒนธรรมอาจหักได้ถึง 35% เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงกว่า
Professional Fundraiser หรือที่เรียกกันว่า “ผู้ระดมทุนมืออาชีพ” เป็นธุรกิจที่มีมายาวนานในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นบุคคลหรือบริษัทที่ทำหน้าที่ระดมทุนให้กับองค์กรการกุศลโดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่ระดมได้
ธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากความจริงที่ว่าการระดมทุนเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ใช่ทุกองค์กรการกุศลจะมีทักษะหรือทรัพยากรในการทำเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในสหรัฐอเมริกา Professional Fundraiser ต้องขึ้นทะเบียนกับรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายที่เข้มงวด กฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยให้ผู้บริจาครู้ว่าเงินจะถูกหักเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ก่อนการบริจาค และต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานต่อหน่วยงานกำกับดูแลอย่างสม่ำเสมอ
ในหลายรัฐมีการกำหนดเพดานค่าธรรมเนียมที่สามารถเก็บได้ โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 15-35% ขึ้นอยู่กับประเภทของการระดมทุนและระยะเวลาของสัญญา รัฐบาลยังกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตและอาจต้องวางเงินประกันเพื่อคุ้มครองผู้บริจาคด้วย
ในยุโรป ระบบการควบคุม Professional Fundraiser ก็มีความเข้มงวดเช่นกัน ประเทศอย่างสหราชอาณาจักรมี Charity Commission ที่ทำหน้าที่กำกับดูแล และกำหนดให้ Professional Fundraiser ต้องปฏิบัติตาม Code of Practice ที่เข้มงวด รวมถึงการต้องแจ้งให้ผู้บริจาครู้อย่างชัดเจนว่าเป็นการบริจาคผ่านบุคคลที่สามและเงินจะถูกแบ่งอย่างไร
ในเยอรมนีและฝรั่งเศสก็มีระบบการควบคุมที่คล้ายคลึงกัน โดยเน้นความโปร่งใสและการคุ้มครองผู้บริจาค
การทำงานของ Professional Fundraiser นั้นมีหลายรูปแบบ บางคนทำงานแบบ retainer fee คือได้เงินเดือนคงที่ บางคนทำงานแบบ commission-based คือได้เปอร์เซ็นต์จากยอดที่ระดมได้ และบางคนทำงานแบบผสมผสาน
โดยทั่วไปแล้วระบบ commission-based จะมีอัตราที่สูงกว่าเพราะมีความเสี่ยงมากกว่า ผู้ระดมทุนมืออาชีพมักจะมีเครือข่ายผู้บริจาคที่กว้างขวาง เข้าใจจิตวิทยาของการให้ และมีทักษะในการสื่อสารที่สามารถทำให้คนอยากบริจาคได้
ที่น่าสนใจคือในหลายประเทศ Professional Fundraiser ที่ดีจะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับองค์กรการกุศล ไม่ใช่แค่ระดมทุนครั้งเดียวแล้วจบ พวกเขาจะช่วยองค์กรสร้างฐานผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง พัฒนาแผนการระดมทุนระยะยาว และสอนให้องค์กรสามารถระดมทุนได้เองในอนาคต
องค์กรการกุศลหลายแห่งถือว่าการใช้ Professional Fundraiser เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะสามารถระดมทุนได้มากกว่าที่จะทำเองได้ แม้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก็ตาม
ในประเทศไทย ระบบ Professional Fundraiser ยังไม่ได้รับการพัฒนาหรือควบคุมอย่างเป็นระบบ ไม่มีกฎหมายเฉพาะหรือหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้เกิดกรณีอย่างหมอบีที่ทำงานในลักษณะคล้าย Professional Fundraiser แต่ไม่มีกรอบกฎหมายหรือมาตรฐานที่ชัดเจน สิ่งนี้ทำให้เกิดความสับสนและข้อโต้แย้งเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะไม่มีใครรู้ว่าควรปฏิบัติตามมาตรฐานอะไรหรือใครควรรับผิดชอบอย่างไร หากประเทศไทยมีการพัฒนาระบบกฎหมายและการควบคุม Professional Fundraiser แบบสากล กรณีอย่างหมอบีอาจจะไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นก็จะมีกรอบการแก้ไขที่ชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
โพสต์ทูเดย์ลองไปค้นหา เกี่ยวกับ “อุตสาหกรรมการกุศลแบบมืออาชีพจากภายนอก” (Professional Third-Party Fundraising / Modern Charity Business Model) ที่แตกต่างจากการทำบุญแบบดั้งเดิมในต่างประเทศ ว่ามีความน่าสนใจหรือมี "รูปแบบ" แบบใดบ้างพบว่า
บทบาทของผู้ระดมทุนมืออาชีพ (Professional Fundraiser) ในโมเดลสมัยใหม่ องค์กรการกุศลมักจ้างบุคคลหรือแพลตฟอร์มภายนอก (third-party) มาช่วยดำเนินการระดมทุน แทนการพึ่งพากิจกรรมอาสาของ Volunteers หรือการบริจาคโดยตรงแบบเก่า จุดเด่นคือความเชี่ยวชาญด้านการตลาด การใช้ช่องทางดิจิทัล และการจัดแคมเปญสร้างแรงจูงใจ ผ่านกลยุทธ์เช่น peer-to-peer, match funding หรือ micro-donations ทำให้การบริจาคมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มคนใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น
สถิติสะท้อนภาพรวมของแนวโน้มด้านการระดมทุน
– ในธุรกิจ peer-to-peer fundraising ของสหรัฐฯ รายรับรวมขึ้น 3 % ในปี 2024 รวมเป็น 1.14 พันล้านดอลลาร์
– กระแสการบริจาคแบบ recurring (รายเดือน) เพิ่มขึ้น 11 % ขณะที่การบริจาคแบบ one-time ลดลง 12 % และการบริจาคออนไลน์รายเดือนกินสัดส่วนถึง 28 % ของยอดรวม
– แพลตฟอร์มอย่าง GlobalGiving เคยมีผู้บริจาคกว่า 1.6 ล้านคน ระดมทุนได้เกิน 750 ล้านดอลลาร์ จากโครงการกว่า 33,000 โครงการ ใน 175 ประเทศ
ตัวอย่างแพลตฟอร์มหรือแคมเปญที่ใช้โมเดลสมัยใหม่
– Omaze แพลตฟอร์มระดมทุนออนไลน์แนว “ลุ้นรางวัล” (sweepstakes) โดยนำรายได้จากการซื้อบัตรเข้าร่วมกิจกรรมมาส่งต่อให้มูลนิธิ ตัวอย่างเช่น แคมป์ house draw ในอังกฤษ เริ่มปี 2020 มีเงินบริจาคสะสมกว่า 250 ล้านดอลลาร์ (จนถึงกรกฎาคม 2025)
– The Big Give (สหราชอาณาจักร) ใช้แนวคิด match funding ให้ผู้บริจาคมีส่วน (public donors) โดยเงินของผู้บริจาคจะถูก “ทวีคูณ” จากกองทุนสนับสนุน เช่น Christmas Challenge 2024 ระดมทุนได้สูงถึง £44.7 ล้าน เป็นงานระดมทุนออนไลน์ครั้งใหญ่สุดของปีใน UK
– Pan-Mass Challenge ใช้กิจกรรมวิ่งหรือปั่นจักรยานระดมทุน (P2P) ที่สนับสนุน Dana–Farber Cancer Institute โดยตั้งแต่ 1980–2024 ระดมทุนกว่า 1.047 พันล้านดอลลาร์ และตั้งแต่ 2007 เงินที่ผู้เข้าร่วมระดมได้ 100 % ส่งถึงมูลนิธิโดยตรง (ค่าใช้จ่ายดำเนินการมาจากผู้สนับสนุนอื่น)
ความแตกต่างจากการทำบุญแบบดั้งเดิม
– ช่องทางดิจิทัลและบริการครบวงจร ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มออนไลน์ การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย การใช้ข้อมูล (data-driven) เพื่อปรับกลยุทธ์ เช่น การใช้ predictive analytics เพิ่มรายรับได้ถึง 20 %, personalisation เพิ่มรายได้ 760 %
– ความโปร่งใสและการวัดผล มีการใช้ data visualization เพื่อรายงานผลกระทบจริง ทำให้สร้างความไว้วางใจและกระตุ้นการบริจาคต่อเนื่อง เช่น Save the Children ได้เพิ่มรายได้ recurring ได้ 35 %
– รูปแบบการมีส่วนร่วมที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่บริจาค แต่ร่วมกิจกรรม วิ่ง แข่ง หรือรับสินค้าตอบแทน ทำให้เกิดแรงจูงใจเชิงประสบการณ์มากขึ้น เช่น crowdfunding แบบ rewards (เช่น Asiola ในไทย) ให้ผลตอบแทนหรือของรางวัลเพื่อดึงดูดผู้สนับสนุน
สรุปภาพโดยรวม
โมเดลการกุศลสมัยใหม่พึ่งพาความเชี่ยวชาญและโครงสร้างมืออาชีพจาก third-party fundraisers หรือแพลตฟอร์มที่มีเทคนิคการสื่อสารและการตลาดครบวงจร ส่งผลให้เกิดโมเดลที่มีประสิทธิภาพ เช่น การจับคู่เงินช่วยเหลือ (match funding), การระดมทุนผ่านกิจกรรม (P2P), การใช้ข้อมูลเพื่อปรับกลยุทธ์และรายงานผล โดดเด่นกว่าการทำบุญแบบดั้งเดิมที่มักจะพึ่งพาการบริจาคโดยตรงหรือกิจกรรมอาสาเฉพาะกลุ่ม และไม่สามารถวัดผลหรือเข้าถึงผู้คนได้กว้างขวางเท่า
แต่ในโมเดลของไทย (ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน) ด้วยความที่วัดเกี่ยวพันกับพุทธศาสนา จริยธรรมและคุณธรรมแบบชาวพุทธอย่างยาวนานและมีความเหลื่อมซ้อนกันระหว่างพุทธพาณิชย์และการทำบุญ การเอ่ยอ้าง ธุรกิจกับวัด จึงเป็นเรื่องอ่อนไหวและไม่สมควรที่บุคคลในวัดจะทำเป็น "ธุรกิจ" (แม้จะยอมรับในเรื่องของพุทธพาณิย์มานานแล้วก็ตาม) การเปิดเผยอย่างโปร่งใสหรือจะมีกฎกติกาใดมาควบคุมจึงเป็นเรื่องที่ยังต้องมีการศึกษาและทำความเข้าใจกันต่อไป...
อ้างอิง:
Business Research InsightsLinkedIn


