posttoday

ความเข้าใจเรื่อง "หมอบี" และ “ธุรกิจการบริจาค” ในสังคมไทย

08 สิงหาคม 2568

สำรวจอุตสาหกรรมการกุศลยุคใหม่ ใช้ผู้ระดมทุนมืออาชีพและแพลตฟอร์มดิจิทัล ดึงกลยุทธ์การตลาด-ข้อมูล สร้างผลลัพธ์เกินกว่าการทำบุญแบบเดิม ผ่านเรื่องราวของ "หมอบี' เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล

KEY

POINTS

  • กรณี 'หมอบี' สะท้อนความขัดแย้งระหว่างการทำบุญแบบดั้งเดิมกับ “ธุรกิจการบริจาค” ที่สังคมไทยยังไม่เข้าใจ เพราะไม่มีอย่างชัดเจนแต่แรก และยังไม่มีกฎหมายรองรับ
  • ในต่างประเทศมีอาชีพ “ผู้ระดมทุนมืออาชีพ” ที่หักค่าดำเนินการเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ตามกฎหมาย โดยเน้นความโปร่งใสและมีหน่วยงานกำกับ
  • ประเทศไทยขาดกรอบกฎหมายและมาตรฐานควบคุมธุรกิจการบริจาค ทำให้เกิดความสับสนและข้อโต้แย้งเมื่อเกิดปัญหาเรื่องความโปร่งใสของเงินบริจาค

อ่านเพจ ‘ปราย พันแสง นักเขียนรุ่นใหญ่อธิบายเกี่ยวกับธุรกิจการกุศลในหลายประเทศของโลกให้ฟังได้อย่างกระจ่างแจ้ง จากกรณีเรื่องอื้อฉาวของ "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" หรือในชื่อจริงนายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล กับวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดสระบุรี ที่เกี่ยวข้องกับเงินบริจาคนับหลายร้อยล้านบาท และจากที่มีข่าวระบุการแบ่งสัดส่วนเงินบริจาคแบบ 70:30 ระหว่างวัดและหมอบีเป็นระยะเวลาหลายปี นับตั้งแต่ปี 2562 เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยกับการบริจาคในนามของ "การทำบุญ" ผ่านวัด ไม่เพียงแต่วัดนี้ แต่เชื่อว่าอีกหลายวัดในประเทศไทยยังมีอะไรที่ไม่โปร่งใสแบบนี้เกิดขึ้นและยังดำเนินอยู่ และยังมีคนไทยอีกมากมายที่ไม่เข้าใจและไม่เคยชินกับธุรกิจการบริจาคแบบนี้ ในขณะที่สังคมส่วนหนึ่งเชื่อว่า “เงินบริจาค” สามารถทำให้โปร่งใสได้ หากมีกรอบกติตาชัดเจนตั้งแต่แรกระหว่างวัดผู้รับบริจาค คนกลาง (Fundraiser) และผู้บริจาคทาน (คนทำบุญ)...

 

โดยเฉพาะเมื่อ ‘ปราย พันแสงบอกว่า คนที่หาเงินให้มูลนิธิหรือองค์กรการกุศลแล้วกินหัวคิวเป็นเปอร์เซ็นต์ลักษณะนี้ (ในสหรัฐอเมริกา หรือ ยุโรป) เป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย โดยมีชื่อเรียกว่า Professional Fundraiser หรือที่เรียกกันว่า “ผู้ระดมทุนมืออาชีพ”

 

หากแต่ประเทศไทยยังไม่มีอะไรแบบนั้น…เราจึงต้องมาทำความรู้จักสิ่งที่เรียกว่า "ผู้ระดมทุนมืออาชีพ" กัน ซึ่งตอนนี้น่าจะมีอยู่เยอะแยะมากมายในสังคมไทย ที่มีชื่อเสียงและเคลื่อนไหวอยู่ในทุกๆ วันตามเพจและวัดต่างๆ คำถามคือ พวกเขาเหล่านี้มีความโปร่งใสแค่ไหน มีอะไรควบคุม? แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น โพสต์ทูเดย์ชวนมาทำความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับ “อุตสาหกรรมการกุศลแบบใหม่” ในประเทศอื่นๆ กันก่อน ว่าเขาทำงานกันอย่างไร และมีความโปร่งใสแค่ไหน เพื่อควบคุมเงินบริจาคจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทางในโลกยุคดิจิทัล

 

คุณ'ปราย เล่าถึง การเกิดของ “อุตสาหกรรมการกุศลแบบใหม่” ที่เรียกว่า Professional Third-Party Fundraising Industry หรือ Modern Charity Business Model ที่แตกต่างจากการทำบุญแบบดั้งเดิม

 

โดยระบุว่า หมอบีทำหน้าที่เป็นตัวกลางมืออาชีพในการระดมทุน มีทีมงาน มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ตั้งแต่การจ้างพนักงาน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าระบบเทคโนโลยี ค่าประชาสัมพันธ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นในการสร้างเครือข่ายการกุศลขนาดใหญ่ การหัก 30% จากเงินบริจาคเพื่อเป็นค่าดำเนินงานจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติในแวดวงการกุศลยุคใหม่

 

หากมองตามมาตรฐานองค์กรการกุศลสากล การหักค่าดำเนินงาน 30% ถือเป็นอัตราที่อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ Better Business Bureau แนะนำให้ไม่เกิน 35% ส่วน Charity Navigator ให้เครดิตเต็มกับองค์กรที่ใช้งบประมาณ 70% ในโครงการหลัก

 

องค์กรการกุศลชื่อดังระดับโลกก็มีอัตราการหักที่คล้ายคลึงกัน เช่น UNICEF USA ที่หักค่าดำเนินงาน 11.6% (3% บริหาร + 8% ระดมทุน) ส่วนใหญ่ 88.4% ไปช่วยเหลือเด็กโดยตรง องค์กรที่ถูกจัดอันดับว่า “มีประสิทธิภาพสูง” โดย CharityWatch จะหักไม่เกิน 25% ในขณะที่องค์กรการกุศลทั่วไปหักได้ 15-35% ขึ้นอยู่กับประเภทงาน องค์กรด้านอาหารและความช่วยเหลือมนุษยธรรมมักหักต่ำกว่า 15% ส่วนองค์กรด้านศิลปะและวัฒนธรรมอาจหักได้ถึง 35% เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงกว่า

 

Professional Fundraiser หรือที่เรียกกันว่า “ผู้ระดมทุนมืออาชีพ” เป็นธุรกิจที่มีมายาวนานในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นบุคคลหรือบริษัทที่ทำหน้าที่ระดมทุนให้กับองค์กรการกุศลโดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดเงินที่ระดมได้

 

ธุรกิจนี้เกิดขึ้นจากความจริงที่ว่าการระดมทุนเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ใช่ทุกองค์กรการกุศลจะมีทักษะหรือทรัพยากรในการทำเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ในสหรัฐอเมริกา Professional Fundraiser ต้องขึ้นทะเบียนกับรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายที่เข้มงวด กฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยให้ผู้บริจาครู้ว่าเงินจะถูกหักเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ก่อนการบริจาค และต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานต่อหน่วยงานกำกับดูแลอย่างสม่ำเสมอ

 

ในหลายรัฐมีการกำหนดเพดานค่าธรรมเนียมที่สามารถเก็บได้ โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 15-35% ขึ้นอยู่กับประเภทของการระดมทุนและระยะเวลาของสัญญา รัฐบาลยังกำหนดให้ต้องมีใบอนุญาตและอาจต้องวางเงินประกันเพื่อคุ้มครองผู้บริจาคด้วย

 

ในยุโรป ระบบการควบคุม Professional Fundraiser ก็มีความเข้มงวดเช่นกัน ประเทศอย่างสหราชอาณาจักรมี Charity Commission ที่ทำหน้าที่กำกับดูแล และกำหนดให้ Professional Fundraiser ต้องปฏิบัติตาม Code of Practice ที่เข้มงวด รวมถึงการต้องแจ้งให้ผู้บริจาครู้อย่างชัดเจนว่าเป็นการบริจาคผ่านบุคคลที่สามและเงินจะถูกแบ่งอย่างไร

 

ในเยอรมนีและฝรั่งเศสก็มีระบบการควบคุมที่คล้ายคลึงกัน โดยเน้นความโปร่งใสและการคุ้มครองผู้บริจาค

การทำงานของ Professional Fundraiser นั้นมีหลายรูปแบบ บางคนทำงานแบบ retainer fee คือได้เงินเดือนคงที่ บางคนทำงานแบบ commission-based คือได้เปอร์เซ็นต์จากยอดที่ระดมได้ และบางคนทำงานแบบผสมผสาน

 

โดยทั่วไปแล้วระบบ commission-based จะมีอัตราที่สูงกว่าเพราะมีความเสี่ยงมากกว่า ผู้ระดมทุนมืออาชีพมักจะมีเครือข่ายผู้บริจาคที่กว้างขวาง เข้าใจจิตวิทยาของการให้ และมีทักษะในการสื่อสารที่สามารถทำให้คนอยากบริจาคได้

 

ที่น่าสนใจคือในหลายประเทศ Professional Fundraiser ที่ดีจะสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับองค์กรการกุศล ไม่ใช่แค่ระดมทุนครั้งเดียวแล้วจบ พวกเขาจะช่วยองค์กรสร้างฐานผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง พัฒนาแผนการระดมทุนระยะยาว และสอนให้องค์กรสามารถระดมทุนได้เองในอนาคต

 

องค์กรการกุศลหลายแห่งถือว่าการใช้ Professional Fundraiser เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะสามารถระดมทุนได้มากกว่าที่จะทำเองได้ แม้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก็ตาม

 

ในประเทศไทย ระบบ Professional Fundraiser ยังไม่ได้รับการพัฒนาหรือควบคุมอย่างเป็นระบบ ไม่มีกฎหมายเฉพาะหรือหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้เกิดกรณีอย่างหมอบีที่ทำงานในลักษณะคล้าย Professional Fundraiser แต่ไม่มีกรอบกฎหมายหรือมาตรฐานที่ชัดเจน สิ่งนี้ทำให้เกิดความสับสนและข้อโต้แย้งเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะไม่มีใครรู้ว่าควรปฏิบัติตามมาตรฐานอะไรหรือใครควรรับผิดชอบอย่างไร หากประเทศไทยมีการพัฒนาระบบกฎหมายและการควบคุม Professional Fundraiser แบบสากล กรณีอย่างหมอบีอาจจะไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นก็จะมีกรอบการแก้ไขที่ชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย​​

 

โพสต์ทูเดย์ลองไปค้นหา เกี่ยวกับ “อุตสาหกรรมการกุศลแบบมืออาชีพจากภายนอก” (Professional Third-Party Fundraising / Modern Charity Business Model) ที่แตกต่างจากการทำบุญแบบดั้งเดิมในต่างประเทศ ว่ามีความน่าสนใจหรือมี "รูปแบบ" แบบใดบ้างพบว่า

 

บทบาทของผู้ระดมทุนมืออาชีพ (Professional Fundraiser) ในโมเดลสมัยใหม่ องค์กรการกุศลมักจ้างบุคคลหรือแพลตฟอร์มภายนอก (third-party) มาช่วยดำเนินการระดมทุน แทนการพึ่งพากิจกรรมอาสาของ Volunteers หรือการบริจาคโดยตรงแบบเก่า จุดเด่นคือความเชี่ยวชาญด้านการตลาด การใช้ช่องทางดิจิทัล และการจัดแคมเปญสร้างแรงจูงใจ ผ่านกลยุทธ์เช่น peer-to-peer, match funding หรือ micro-donations ทำให้การบริจาคมีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มคนใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น

 

สถิติสะท้อนภาพรวมของแนวโน้มด้านการระดมทุน


– ในธุรกิจ peer-to-peer fundraising ของสหรัฐฯ รายรับรวมขึ้น 3 % ในปี 2024 รวมเป็น 1.14 พันล้านดอลลาร์

– กระแสการบริจาคแบบ recurring (รายเดือน) เพิ่มขึ้น 11 % ขณะที่การบริจาคแบบ one-time ลดลง 12 % และการบริจาคออนไลน์รายเดือนกินสัดส่วนถึง 28 % ของยอดรวม

– แพลตฟอร์มอย่าง GlobalGiving เคยมีผู้บริจาคกว่า 1.6 ล้านคน ระดมทุนได้เกิน 750 ล้านดอลลาร์ จากโครงการกว่า 33,000 โครงการ ใน 175 ประเทศ

 

ตัวอย่างแพลตฟอร์มหรือแคมเปญที่ใช้โมเดลสมัยใหม่


Omaze แพลตฟอร์มระดมทุนออนไลน์แนว “ลุ้นรางวัล” (sweepstakes) โดยนำรายได้จากการซื้อบัตรเข้าร่วมกิจกรรมมาส่งต่อให้มูลนิธิ ตัวอย่างเช่น แคมป์ house draw ในอังกฤษ เริ่มปี 2020 มีเงินบริจาคสะสมกว่า 250 ล้านดอลลาร์ (จนถึงกรกฎาคม 2025)


The Big Give (สหราชอาณาจักร) ใช้แนวคิด match funding ให้ผู้บริจาคมีส่วน (public donors) โดยเงินของผู้บริจาคจะถูก “ทวีคูณ” จากกองทุนสนับสนุน เช่น Christmas Challenge 2024 ระดมทุนได้สูงถึง £44.7 ล้าน เป็นงานระดมทุนออนไลน์ครั้งใหญ่สุดของปีใน UK

Pan-Mass Challenge ใช้กิจกรรมวิ่งหรือปั่นจักรยานระดมทุน (P2P) ที่สนับสนุน Dana–Farber Cancer Institute โดยตั้งแต่ 1980–2024 ระดมทุนกว่า 1.047 พันล้านดอลลาร์ และตั้งแต่ 2007 เงินที่ผู้เข้าร่วมระดมได้ 100 % ส่งถึงมูลนิธิโดยตรง (ค่าใช้จ่ายดำเนินการมาจากผู้สนับสนุนอื่น)

 

ความแตกต่างจากการทำบุญแบบดั้งเดิม
– ช่องทางดิจิทัลและบริการครบวงจร ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มออนไลน์ การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย การใช้ข้อมูล (data-driven) เพื่อปรับกลยุทธ์ เช่น การใช้ predictive analytics เพิ่มรายรับได้ถึง 20 %, personalisation เพิ่มรายได้ 760 %

ความโปร่งใสและการวัดผล มีการใช้ data visualization เพื่อรายงานผลกระทบจริง ทำให้สร้างความไว้วางใจและกระตุ้นการบริจาคต่อเนื่อง เช่น Save the Children ได้เพิ่มรายได้ recurring ได้ 35 %

รูปแบบการมีส่วนร่วมที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่บริจาค แต่ร่วมกิจกรรม วิ่ง แข่ง หรือรับสินค้าตอบแทน ทำให้เกิดแรงจูงใจเชิงประสบการณ์มากขึ้น เช่น crowdfunding แบบ rewards (เช่น Asiola ในไทย) ให้ผลตอบแทนหรือของรางวัลเพื่อดึงดูดผู้สนับสนุน

 

สรุปภาพโดยรวม
โมเดลการกุศลสมัยใหม่พึ่งพาความเชี่ยวชาญและโครงสร้างมืออาชีพจาก third-party fundraisers หรือแพลตฟอร์มที่มีเทคนิคการสื่อสารและการตลาดครบวงจร ส่งผลให้เกิดโมเดลที่มีประสิทธิภาพ เช่น การจับคู่เงินช่วยเหลือ (match funding), การระดมทุนผ่านกิจกรรม (P2P), การใช้ข้อมูลเพื่อปรับกลยุทธ์และรายงานผล โดดเด่นกว่าการทำบุญแบบดั้งเดิมที่มักจะพึ่งพาการบริจาคโดยตรงหรือกิจกรรมอาสาเฉพาะกลุ่ม และไม่สามารถวัดผลหรือเข้าถึงผู้คนได้กว้างขวางเท่า

 

แต่ในโมเดลของไทย (ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน) ด้วยความที่วัดเกี่ยวพันกับพุทธศาสนา จริยธรรมและคุณธรรมแบบชาวพุทธอย่างยาวนานและมีความเหลื่อมซ้อนกันระหว่างพุทธพาณิชย์และการทำบุญ การเอ่ยอ้าง ธุรกิจกับวัด จึงเป็นเรื่องอ่อนไหวและไม่สมควรที่บุคคลในวัดจะทำเป็น "ธุรกิจ" (แม้จะยอมรับในเรื่องของพุทธพาณิย์มานานแล้วก็ตาม) การเปิดเผยอย่างโปร่งใสหรือจะมีกฎกติกาใดมาควบคุมจึงเป็นเรื่องที่ยังต้องมีการศึกษาและทำความเข้าใจกันต่อไป...

 

อ้างอิง:

Business Research InsightsLinkedIn

Wikipedia

 

 

 

ข่าวล่าสุด

ไทย-กัมพูชาบนเส้นปะทะใหม่ ยุทธการเขย่าความมั่นคงภูมิภาค