คนไทยแบกค่าใช้จ่ายเพิ่มพุ่ง 15% สวนทางรัฐประกาศภาวะเงินฝืด!
มาร์เก็ตบัซซ เผย 42% ของประชาชนคนไทยมีความกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ขัดกับข้อมูลทางการที่รายงานภาวะเงินฝืด ชี้มองแค่ตัวเลขมหภาคไม่ได้!
KEY
POINTS
- ผลสำรวจ Marketbuzzz ชี้ว่าคนไทย 42% กังวลเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลภาวะเงินฝืดของภาครัฐ
- แม้ตัวเลขเงินเฟ้อทางการจะติดลบ แต่ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตจริง เช่น ค่าอาหาร ที่อยู่อาศัย และการเดินทาง กลับเพิ่มขึ้นถึง 15.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
- กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือผู้ที่อาศัยในกรุงเทพฯ ผู้สูงอายุ และคู่แต่งงานที่มีบุตร ซึ่งมีความกังวลสูงกว่าค่าเฉลี่ย
- ความไม่สอดคล้องกันระหว่างรายได้ที่ทรงตัวและค่าครองชีพที่สูงขึ้น สร้างแรงกดดันทางการเงินและเพิ่มความเสี่ยงหนี้ครัวเรือนให้คนไทย
ผลสำรวจล่าสุดของมาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzzz) เผยว่า 42% ของประชาชนคนไทยมีความกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น แม้ข้อมูลทางการจะรายงานภาวะเงินฝืด
ทั้งนี้ คนไทยกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจาก ค่าครองชีพที่สูงขึ้น แม้ข้อมูลเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการจะชี้ให้เห็นถึงช่วงภาวะเงินฝืด แต่จากผลสำรวจทั่วประเทศของ Marketbuzzz พบว่า 42% ของคนไทย มีความกังวลใจสูงสุดในเรื่องของราคาสินค้าและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ ซึ่งขัดแย้งกับตัวเลขของรัฐบาลที่แสดงภาวะเงินฝืด อยู่ที่ - 0.25% เมื่อเทียบปีก่อน ณ เดือนมิถุนายน 2568
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงกลับเห็นภาพของความแตกต่างที่ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่มีความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่อาศัย อาหาร การเดินทาง และสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้นถึง 15.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อรายจ่ายของครัวเรือนทั่วประเทศ
รายได้ไม่พอรายจ่าย
จากการศึกษาของ Marketbuzzz สำรวจคนไทย 865 คนทั่วประเทศ พบว่า หลายครอบครัวกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก จากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้น ในขณะที่ค่าแรงยังคงทรงตัว ความไม่สอดคล้องกันระหว่างตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันนั้นเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มต่างๆ เช่น
- แรงกดดันตามช่วงชีวิต คู่แต่งงานที่มีบุตร จะมีความกังวลสูงสุด อยู่ที่ 46% เมื่อเทียบกับกลุ่มคนโสด ซึ่งความกังวลอยู่ที่ 39%
- ความตึงเครียดตามช่วงอายุ คนไทยสูงวัย อายุ 55 ปีขึ้นไป จะมีความกดดันทางการเงินมากที่สุดถึง 59% ซึ่งมักเกิดจากการที่ต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวขยาย
- ความแตกต่างในแต่ละภูมิภาค พื้นที่ในเมือง เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มักมีความกังวลที่ค่าครองชีพสูงถึง 54% ซึ่งสูงกว่าผู้ที่อาศัยในต่างจังหวัดที่กังวลอยู่ที่ 37% เนื่องด้วยปัจจัยในการดำเนินชีวิต และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า
ความกดดันทางการเงิน
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ปี 2567 ที่อ้างถึงในงานวิจัย ชี้ให้เห็นถึงภาระทางการเงินที่ครัวเรือนไทยต้องเผชิญ โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนต่อเดือนอยู่ที่ 18,207 บาท (ณ เดือนธันวาคม 2567)
ในจำนวนนี้ กว่า 8,000 บาท (หรือ 42%) ถูกใช้ไปกับอาหารและเครื่องดื่ม
ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่อาหารสูงกว่า 10,000 บาท (หรือ 58%)
และที่น่ากังวลคือ หนี้ครัวเรือนเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 606,378 บาท
ช่องว่างรายได้ - รายจ่ายที่สูงขึ้น
จากค่าแรงขั้นต่ำรายวันที่ปรับขึ้นอยู่ระหว่าง 337 - 400 บาท ครัวเรือนไทยจำนวนมากต้องเผชิญกับช่องว่างที่มีมากขึ้นระหว่างรายได้และค่าครองชีพขั้นพื้นฐานที่สูงขึ้น มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาร์เก็ตบัซซ (Marketbuzzz) เน้นย้ำว่า ผลสำรวจนี้ แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเท่านั้น แต่เป็นเรื่องราคาที่สูงขึ้นของสินค้าและบริการที่จำเป็น เช่น ที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค การรักษาพยาบาล และการขนส่ง
“เราจำเป็นต้องมีมาตรวัดความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมมากขึ้น แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อโดยรวมอาจคงที่หรือติดลบ แต่ความจริงคือ ค่าครองชีพที่จำเป็นยังคงสร้างแรงกดดันต่อรายจ่ายของครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อกลุ่มประชากรที่แตกต่างกันอย่างไม่สมดุลอีกด้วย” มร.แกรนท์ กล่าวเสริม
กังวลผลระยะยาวน่ากังวล
ปัจจุบันคนไทยหลายคนกำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย ซึ่งบางครอบครัวอาจต้องตัดสิ่งที่จำเป็นออกไป ในขณะที่บางครอบครัวอาจยังคงก่อหนี้เพิ่ม เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หากค่าครองชีพยังคงเพิ่มสูงขึ้นในขณะที่รายได้ไม่เปลี่ยนแปลงหรือลดลง ภาระต่อบุคคลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลง ความเสี่ยงด้านหนี้สินเพิ่มขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่กว้างขึ้นในระยะยาว
ค่าครองชีพเป็นมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่เป็นความจริงในชีวิตประจำวันที่คนไทยหลายล้านคนกำลังเผชิญ มาร์เก็ตบัซซย้ำถึงความจำเป็นในการใช้ “แนวทางแบบองค์รวม” เพื่อทำความเข้าใจแรงกดดันที่ครัวเรือนต้องเผชิญอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ดูตัวเลข แต่ควรสะท้อนถึงประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้น การมีแนวทางที่กว้างขึ้นและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการวัดสุขภาพทางเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่เพียงตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาค แต่ยังต้องรับรู้ถึงสิ่งที่ประชาชนกำลังประสบอยู่จริงด้วย.


