posttoday

เปิดสถิติชวนคิด! คนไทยจมน้ำตายวันละ 10 คน ส่วนใหญ่ในกลุ่ม 45-59 ปี

30 กรกฎาคม 2568

เมื่อกรมควบคุมโรคเปิดสถิติ ‘จมน้ำเสียชีวิต’ พบว่าคนไทยจมน้ำตายปีละ 3,687 คนหรือเฉลี่ยวันละ 10 คน โพสต์ทูเดย์จึงรวบรวมข้อมูลสาเหตุและวิธีการเอาตัวรอดที่ควรรู้

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขสถิติที่น่าสนใจเมื่อวานนี้ (29 กรกฎาคม 2568) โดยแพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ดำเนินการแถลงข่าว

 

เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า

 

คนไทยเสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ย 3,687 คนต่อปี

เฉลี่ยวันละ 10 คน!

โดยในปี 2558 - 2567 กลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุด

คือ กลุ่มอายุ 45 - 59 ปี

รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป

 

”ในแต่ละวัน 10 คนผู้ใหญ่ (อายุ 15 ปีขึ้นไป ) จะจมน้ำเสียชีวิต 8 คน เด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี)  2 คน โดยสถิติส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน“

 

สาเหตุในกลุ่มผู้ใหญ่ เกิดจากการประกอบอาชีพ  เช่น  หาหอย หาปลา เก็บผัก มากที่สุด รองลงมา คือ พลัดตกลื่น  ส่วนสาเหตุในกลุ่มเด็กเกิดจากการเล่นน้ำมากที่สุด

 

แหล่งน้ำที่มีการจมน้ำมากที่สุด ได้แก่ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ รองลงมา คือ เขื่อน ฝ่าย อ่างเก็บน้ำ ทั้งให้กลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ โดยเกือบทั้งหมดของคนที่จมน้ำไม่สวมชูชีพ (ร้อยละ 98.8%)

 

ข้อแนะนำจากทางกรมควบคุมโรค ระบุว่า

  1. อย่าเดินหรืออยู่ใกล้บริเวณขอบบ่อ เพราะอาจเกิดการลื่นไถลลงไปในน้ำ
  2. ทำสัญลักษณ์/ป้ายเตือน/แนวกั้น เพื่อให้สังเกตเห็นขอบบ่อได้ชัดเจน
  3. ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยให้เด็กลงไปในน้ำ
  4. ไม่ควรลงไปในน้ำ เพราะระดับน้ำ กระแสน้ำ และพื้นใต้น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
  5. หากจำเป็นต้องลงน้ำ ควรสวมเสื้อชูชีพ หรือนำถังแกลลอนพลาสติกเปล่าผูกเชือกสะพายไว้กับตัว เพื่อช่วยในการพยุงตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

       

ทั้งนี้ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้ความรู้ไว้ในเว็บไซต์เกี่ยวกับ การช่วยเหลือเบื้องต้น สำหรับคนจมน้ำ โดยระบุว่า

 

การจมน้ำสามารถป้องกันได้และการป้องกันเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด เพราะเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว พบว่า

 

ผู้ประสบเหตุจมน้ำส่วนใหญ่จะมีโอกาสรอดน้อย และเสียชีวิตเกือบทั้งหมด ถึงแม้บางรายจะได้รับการช่วยเหลือแล้วก็ตาม เนื่องจากการช่วยเหลือที่ไม่ทันท่วงทีและไม่ถูกต้องก็เสมือนไม่ได้ให้การช่วยเหลือนั่นเอง

 

โดยการช่วยชีวิตผู้ที่จมน้ำจะช่วยสําเร็จได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จมน้ำว่านานเพียงใด อุณหภูมิของน้ำ  และความรวดเร็วในการเริ่มให้การช่วยชีวิต

 

สำหรับวิธีการช่วยเหลือคนจมน้ำ ได้แก่

  1. รีบนําผู้ที่จมน้ำออกจากที่เกิดเหตุและให้อยู่ในที่ปลอดภัย โดยจัดท่าให้นอนหงายราบบนพื้นที่มีความแข็ง เช่น บนพื้น บนโต๊ะ หากเคยได้รับการฝึกช่วยชีวิตผู้จมน้ำมาแล้วและผู้ให้การช่วยเหลือมีความแข็งแรง การช่วยหายใจเริ่มได้ตั้งแต่อยู่ในน้ำและให้รีบตัวผู้ป่วยขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว และให้ผู้อื่นรีบโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือและขอรถพยาบาลที่หมายเลข 1669โดยแจ้งสถานการณ์ สถานที่เกิดเหตุและหมายเลขติดต่อกลับ
  2. การช่วยชีวิตสามารถทําได้โดยการกดหน้าอก (CPR)  30 ครั้ง (กดที่กึ่งกลางระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง ลึกมากกว่า 2 นิ้ว อัตราเร็วมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที)
  3. สลับกับช่วยหายใจ 2 ครั้ง (โดยใช้มือหนึ่งกดหน้าผาก อีกมือหนึ่งยกคาง มือที่กดหน้าผากบีบจมูกผู้จมน้ำ ประกบปากเป่าลม จนหน้าอกผู้จมน้ำพองขึ้นเล็กน้อย)
  4. ทําการกดหน้าอก 30 ครั้งสลับกับช่วยหายใจ 2 ครั้งไปเรื่อยๆ จนกว่ารถพยาบาลจะมาถึง หรือหากสามารถนําผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลได้เร็วกว่าก็ให้ทําการช่วยชีวิตตลอดการเดินทางนําส่ง โดยห้ามหยุดเป็นอันขาด

 

หมายเหตุ : การแบกหรือยกตัวเพื่อเขย่าเอานําออกไม่ใช่สิ่งจําเป็น เพราะจะทําให้การเริ่มช่วยชีวิตล่าช้า

 

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลระบุว่า หากผู้ที่จมน้ำไม่ได้รับการช่วยเหลือภายใน 4-6 นาทีแรก สมองจะขาดออกซิเจน ทำให้โอกาสเสียชีวิตหรือสมองได้รับความเสียหายสูงมาก

และเด็กที่รอดชีวิตมักถูกพบภายใน 2 นาที ของการจมน้ำ และผู้ที่เสียชีวิตส่วนมากเกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ 10 นาที

 

ที่มา

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

Medscape

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

ข่าวล่าสุด

ราชกิจจาฯ ออกกฎใหม่ ปรับเพดานค่าจ้าง ม.33 สูงสุด 23,000 บาท