posttoday

"เป่ยเหน่า-1" ชิปเชื่อมสมองจากจีน ไล่จี้ "Neuralink" ท้าชนสหรัฐฯ

22 กรกฎาคม 2568

จีนส่ง "เป่ยเหน่า-1" ลงสนามแข่ง BCI ไล่จี้ Neuralink ของอีลอน มัสก์ เปิดศึกชิงความเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมอง ที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีและอนาคตของมหาอำนาจ

 

บนจอคอมพิวเตอร์ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใจกลางกรุงปักกิ่ง ปรากฏข้อความภาษาจีนว่า “ฉันหิวข้าว” แต่ข้อความดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการพิมพ์

 

แต่เกิดจากความคิดของหญิงชราวัย 67 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (ALS) จนไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป ตามรายงานจาก CNN

 

ความสำเร็จนี้เป็นผลจากการทดลองทางคลินิกของชิปเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (BCI) ที่ชื่อว่า “เป่ยเหน่า-1 (Beinao-1)” ซึ่งมีขนาดเท่าเหรียญบาท

 

ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวที่เผยแพร่โดยสื่อท้องถิ่นปักกิ่ง ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเทคโนโลยี และประกาศอย่างเป็นทางการว่า จีนพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงในสนามที่สหรัฐอเมริกาเคยเป็นผู้นำมาตลอด

 

ศาสตราจารย์หลัว หมินหมิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมองแห่งประเทศจีน (CIBR) และหัวเรือใหญ่ของโครงการนี้ เปิดเผยด้วยความตื่นเต้นว่า

 

เทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจจากผู้ป่วยอย่างล้นหลาม "ผู้ป่วยบอกว่ามันมหัศจรรย์มาก เหมือนได้กลับมาควบคุมร่างกายตัวเองอีกครั้ง"

 

ศ.หลัว ตอกย้ำความสำเร็จว่า ชิปเป่ยเหน่า-1 สามารถถอดรหัสความคิดออกมาเป็นข้อความหรือคำสั่งควบคุมเครื่องจักรได้อย่าง "แม่นยำสูง" และทีมงานกำลังวางแผนเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อขยายผลการทดลองสู่ผู้ป่วยอีกนับร้อยรายในปีหน้า 

 

ศาสตราจารย์หลัว หมินหมิ่น

 

สมรภูมิที่ไม่มีใครยอมใคร: จีน VS สหรัฐฯ

 

ปัจจุบัน เป่ยเหน่า-1 ของจีนได้ฝังชิปในผู้ป่วยไปแล้ว 5 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับ Neuralink บริษัทของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์

 

ขณะที่ Synchron สตาร์ทอัพดาวรุ่งจากสหรัฐฯ ที่มี เจฟฟ์ เบโซส์ และ บิล เกตส์ เป็นนักลงทุนเบื้องหลัง นำหน้าไปเล็กน้อยด้วยจำนวนผู้ป่วย 10 ราย

 

แม็กซิมิเลียน รีเซนฮูเบอร์ ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากโลกตะวันตกที่จับตาสนามนี้อย่างใกล้ชิด ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า

 

"จีนแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ได้แค่ไล่ตาม แต่พร้อมจะแข่งขัน และเริ่มจะขึ้นเป็นผู้นำในบางมิติด้วยซ้ำ"

 

ความแตกต่างที่สำคัญซึ่งอาจเป็นตัวชี้ขาดอนาคตของเทคโนโลยีนี้ คือ "แนวทาง" ในการฝังชิป

 

  • ฝั่งสหรัฐฯ (Neuralink): เลือกใช้แนวทาง "Invasive” โดยฝังชิปลงไปใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุด ซึ่งเป็นเกราะป้องกันของสมองโดยตรง วิธีนี้ให้สัญญาณที่คมชัดและแม่นยำสูงสุด แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงจากการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องเปิดกะโหลก

 

  • ฝั่งจีน (เป่ยเหน่า-1): เลือกใช้แนวทาง "Semi-invasive” ความเสี่ยงน้อยกว่า โดยวางชิปไว้บนพื้นผิวของเยื่อหุ้มสมองเท่านั้น ซึ่งหลายฝ่ายเคยตั้งคำถามว่าจะได้สัญญาณที่ดีพอหรือไม่ แต่ผลการทดลองล่าสุดก็พิสูจน์แล้วว่า "ทำได้" และทำได้ดีเสียด้วย

 

"เป่ยเหน่า-1" ชิปเชื่อมสมองจากจีน ไล่จี้ "Neuralink" ท้าชนสหรัฐฯ

 

มากกว่าเทคโนโลยี คือศักดิ์ศรีมหาอำนาจ

 

สงคราม BCI ไม่ได้วัดกันที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของ "สงครามเทคโนโลยี" ระหว่างสองมหาอำนาจโลก

 

ตามข้อมูลจาก Precedence Research ตลาดเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์มีมูลค่าราว 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 12.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2034 

 

แต่สำหรับจีนและสหรัฐฯ แล้ว เรื่องนี้มีความสำคัญมากกว่าแค่ตัวเงิน

 

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประกาศชัดเจนว่า เทคโนโลยีคือ  "แนวหน้า" และ "สมรภูมิหลัก" ที่จะชี้ขาดความเป็นผู้นำโลก

 

รัฐบาลจีนจึงทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนการวิจัยด้านสมองอย่างเต็มกำลัง โดยบรรจุเรื่องนี้ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี 

 

ทำให้จีนที่แม้จะออกตัวช้ากว่าสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1990 กลับมีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

 

อย่างไรก็ตาม ศ.หลัว ยอมรับว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็น "ผู้นำ" ในเทคโนโลยี BCI

 

แต่การเปรียบเทียบระหว่างเป่ยเหน่า-1 และ Neuralink นั้นเหมือนกับการเปรียบเทียบ "แอปเปิ้ลกับส้ม" เพราะใช้แนวทางและเทคนิคที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

"โดยรวมแล้ว ผมไม่คิดว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้อยู่ในความสัมพันธ์แบบแข่งขันหรือผูกขาด"

 

"บทสรุปยังมาไม่ถึง และเรายังไม่รู้ว่าแนวทางใดจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากที่สุดในระยะยาว" ศ.หลัวกล่าวทิ้งท้าย

 

สงครามเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และผู้ชนะที่แท้จริงอาจไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่คือมวลมนุษยชาติที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาล


 

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์-FWD คว้า 3 รางวัล Adman Awards 2025 ตอกย้ำเข้าถึงลูกค้าทุก Gen ด้วย "ประกันทรัพย์พอร์ตทุกวัย"