posttoday

เช็ค! มาตรฐานน้ำหนักของ 'คุณแม่ขณะตั้งครรภ์' ลดเสี่ยงโรค

18 กรกฎาคม 2568

กรมอนามัยปรับมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ของประเทศไทย ชุดใหม่ ชี้น้ำหนักมีผลต่อการลดเสี่ยงโรค-ภาวะแทรกซ้อน

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เป็นประธานในงานเปิดตัว 'มาตรฐานการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่)'  โดยกล่าวว่า กรมอนามัยให้ความสำคัญต่อสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ โดยตระหนักว่าการเพิ่มน้ำหนักที่เหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์เป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพของทั้งแม่และลูก

การที่หญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักเพิ่มมากหรือน้อยเกินไป อาจก่อให้เกิดผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และภาวะสุขภาพของเด็กในครรภ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด การเสียชีวิตของแม่และเด็ก ภาวะเด็กแรกเกิดน้ำหนักน้อย หรือ ตัวโตผิดปกติ รวมทั้งความเสี่ยงต่อโรค NCDs ในอนาคต 

กรมอนามัยจึงพัฒนาและจัดทำ มาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และหญิงตั้งครรภ์ 
ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ระยะคลอด และหลังคลอดของหญิงตั้งครรภ์และทารก ซึ่งมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบ กราฟการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ไทย(Vallop curve2)

 

สำหรับมาตรฐานฯ ใหม่แบ่งเป็น 4 ภาวะโภชนาการก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งใช้เกณฑ์ค่าดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ ได้แก่ ผอม น้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน และอ้วน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือของบุคลากรทางการแพทย์ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ได้ครอบคลุมทุกคน และช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ทราบถึงแนวทางการกินอาหารและการดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม เพื่อส่งผลให้ทารกมีการเจริญเติบโตสมบูรณ์ แข็งแรง และมีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 2,500 กรัม 


 “กรมอนามัยจะนำมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) ไปใช้ในการติดตามและประเมินการเพิ่มน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ให้สถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ และจะบรรจุมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะครรภ์ของประเทศไทย (ชุดใหม่) ในรูปแบบกราฟกราฟการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักในหญิงตั้งครรภ์ (Vallop curve2) ลงสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก (สมุดสีชมพู) ปี พ.ศ. 2568  เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้กับบุคลากรทางแพทย์ทุกระดับ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ไทยทุกคน สามารถติดตามการติดตามการเพิ่มน้ำหนักของตนเองได้อย่างเหมาะสมต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

 

ดร.นายแพทย์ปองพล วรปาณิ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเสริมว่า การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งมารดาและทารก การควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสมตลอดการตั้งครรภ์ มีความจำเป็นเพื่อ ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน อาทิ โรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง และการคลอดก่อนกำหนด

ทั้งนี้ ข้อมูลจากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2565 (MICs 7) พบว่า ประเทศไทยยังมีอัตราภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการควบคุมน้ำหนักที่ไม่เหมาะสม  เพื่อแก้ไขปัญหานี้ กรมอนามัย ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการและคณะทำงานกำหนดมาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ของประเทศไทย จึงได้พัฒนามาตรฐานการเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ของประเทศไทย ที่เหมาะสมสำหรับหญิงตั้งครรภ์ไทยในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นแนวทางระดับประเทศ โดยอ้างอิงดัชนีมวลกายของหญิงไทย ช่วยให้หญิงตั้งครรภ์สามารถควบคุมน้ำหนักได้เหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และเป็นเครื่องมือให้บุคลากรสาธารณสุขติดตาม และให้คำแนะนำด้านสุขภาพแม่และเด็กได้อย่างใกล้ชิด

 

ทั้งนี้  สำหรับกราฟการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักหญิงตั้งครรภ์ แบ่งเป็น

  1. ภาวะผอมก่อนตั้งครรภ์  ดัชนีมวลกาย BMI น้อยกว่า 18.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
  2. น้ำหนักปกติก่อนตั้งครรภ์ ดัชนีมวลกาย BMI 18.5-22.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
  3. ภาวะน้ำหนักเกินก่อนตั้งครรภ์ ดัชนีมวลกาย BMI 23.0-24.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
  4. ภาวะอ้วนก่อนตั้งครรภ์ ดัชนีมวลกาย BMI มากกว่า 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

 

​​​​​​​

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา