บัตรทองมี 'AI อ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ทรวงอก' นำร่องรพ.รัฐ 167 แห่ง
สปสช.อนุมัติ! นำนวัตกรรมฝีมือคนไทย 'AI อ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ทรวงอก' เริ่มนำร่องปีนี้ใน รพ.รัฐ 167 แห่งทั่วประเทศ
การประชุม บอร์ด สปสช. ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบให้ 'บริการอ่านภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray) ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)' เป็นสิทธิประโยชน์บริการการแพทย์ขั้นสูงสุดในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) และสนับสนุนให้เกิดการใช้นวัตกรรมดังกล่าวจากบัญชีนวัตกรรมไทยในโรงพยาบาลภาครัฐ จำนวน 167 แห่ง ในวงเงินไม่เกินจำนวน 55 ล้านบาท ของปีงบประมาณ 2568 และให้ดำเนินการขยายบริการตามศักยภาพในปีถัด ๆ ไป
โดยการเลือกโรงพยาบาล 167 แห่งแรก ในการให้บริการจะใช้กลไกการมีส่วนร่วมจากกระทรวงสาธารณสุข, คณะแพทยศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล, ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวว่า ที่มาของสิทธิประโยชน์บริการนี้ สืบเนื่องจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกับ บริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด (Perceptra) พัฒนานวัตกรรมการวิเคราะห์ภาพรังสีทรวงอกด้วยปัญญาประดิษฐ์ และได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ Singapore FDA ตลอดจนขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งต่อมาได้ทำข้อเสนอมายังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สนับสนุนการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวในโรงพยาบาลจำนวน 887 แห่ง ไม่รวมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)
ทั้งนี้ การดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายอย่างครอบคลุมภายใน 3 ปี คือ
- ระยะแรก ปีงบประมาณ 2568 สปสช. สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 167 แห่ง ใช้งบประมาณจำนวน 55 ล้านบาทต่อปี
- ระยะที่สอง ปีงบประมาณ 2569 สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 445 แห่ง ใช้งบประมาณจำนวน 135 ล้านบาทต่อปี
- ระยะที่สาม ปีงบประมาณ 2570 สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 887 แห่ง ใช้งบประมาณอีกจำนวน 225 ล้านบาทต่อปี
“บริการนี้จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคที่เป็นปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะวัณโรคและมะเร็งปอด รวมถึงลดภาระงานการอ่านภาพรังสีทรวงอกของแพทย์ ทั้งในโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ขาดผู้เชี่ยวชาญ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีภาระงานจำนวนมาก ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาในประเทศไทยที่มีมาตรฐานสากลด้วย” นายสมศักดิ์ ระบุ
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ ทาง สปสช. จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำภาพถ่ายรังสีทรวงอกมาทบทวนย้อนหลัง 5 ปี เพื่อค้นหาผู้ป่วยเดิมที่อาจจะยังไม่ได้รับการรักษาจากผลการวินิจฉัยในขณะนั้น และนำผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาล รวมถึงวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบ
นอกจากนี้ สปสช. จะร่วมกับหน่วยวิชาการที่เกี่ยวข้องถอดบทเรียนการดำเนินงาน ผลลัพธ์ และประสบการณ์ของการให้บริการในปีแรก เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินการในปีที่ 2 ตลอดจนพิจารณาด้านภาระงบประมาณ อีกทั้ง จะจัดทำประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าบริการ และกำหนดพื้นที่เป้าหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองวัณโรค กรมควบคุมโรค, สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์, ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพ (Service Plan) สาขาต่าง ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ
“เมื่อมีการใช้ AI มาช่วยคุณหมออ่านภาพ x-ray แล้ว เชื่อว่าจะช่วยให้สามารถพบและนำผู้ป่วยวัณโรค เข้าสู่กระบวนการรักษาได้เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรค ซึ่งเป็นอีกปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขของไทยมาอย่างยาวนาน” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
สำหรับข้อมูลผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทย มีการเปิดเผยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 ในการบรรยายพิเศษเปิดการประชุมวิชาการวัณโรคระดับชาติ ในวันวัณโรคสากลประจำปี พ.ศ. 2568 โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทย ในปี 2567 มีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ประมาณ 113,000 ราย และเสียชีวิตจากวัณโรคกว่า 13,000 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 35 คน.


